มนุษย์เรารู้จักกาแฟในฐานะเครื่องดื่มมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว การชงกาแฟดื่มแม้แต่เพียงแก้วเดียว อาจต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อดึงความอร่อยของเครื่องดื่มมหัศจรรย์นี้ออกมา แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน มีฐานะอย่างไร กาแฟย่อมมีทางเลือกให้อยู่เสมอ
ยุคแรกเริ่มดั้งเดิมนั้น การชงกาแฟใน แอฟริกา และอาระเบีย จะทำกันง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ก่อนชงต้องคั่วเมล็ดกาแฟในกระทะร้อนตั้งบนเตาไฟ แล้วนำไปบดละเอียดด้วยครก จากนั้นนำผงกาแฟไปต้มน้ำในหม้อให้เดือด รอจนกาแฟส่งกลิ่นหอมก็รินใส่แก้วแจกจ่าย ดื่มกันกลางวงสนทนาอย่างสบายอารมณ์
อีกหลายร้อยปีต่อมา เมื่อกาแฟแพร่จากตุรกีเข้าไปยังยุโรป ก็เริ่มมีการคิดค้นการชงในรูปแบบใหม่ๆ รวมไปถึงหม้อต้มติดฟิลเตอร์ เพื่อกรองกากกาแฟออกไปขณะดื่ม โดยใช้ผ้าหรือกระดาษเป็นตัวกรอง เรียกกันว่า coffee filter ทุกขั้นตอนล้วนใช้แรงมือทั้งสิ้น
แต่เมื่อเวลากลายเป็นสิ่งมีค่ามากขึ้นในชีวิตประจำวัน การชงกาแฟดื่มที่ใช้เวลานาน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าหรือระหว่างทำงาน มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง การพัฒนาเครื่องชงกาแฟแบบไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ ก็ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความรวดเร็วให้ลูกค้าตามหลักการตลาด ขณะที่อีกฟากหนึ่ง ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบการชงและดื่มกาแฟตามวิถีสโลไลฟ์
ย้อนกลับไปราว 50-60 ปีก่อนมานี้เอง มีการประดิษฐ์เครื่องชงกาแฟไฟฟ้าขึ้นมา เพื่อชงขายกันเป็นล่ำเป็นสันในร้านคาเฟ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ตอนหลังพัฒนามาเป็นอุปกรณ์ประจำออฟฟิศหรือตามบ้าน มีชื่อเรียกกันหลากหลายในภาษาอังกฤษ เช่น Automatic drip-brew, Electric drip coffeemaker, Electric coffee maker และ Automatic coffee brewer ตามแต่ที่บริษัทผู้ผลิตจะเรียกขานกัน
ที่เมืองไทยของเรา ก็มีนำเข้ามาจำหน่ายกันนานแล้ว ที่ผลิตขึ้นมาขายเองก็มี เรียกกันว่า เครื่องดริปกาแฟไฟฟ้า หรือ เครื่องชงกาแฟดริปออโต้ วัสดุส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกทนความร้อน ยกเว้นโถหรือเหยือกแก้วรองรับน้ำกาแฟ ถือเป็นเครื่องชงกาแฟที่คุ้นหน้าคุ้นตาคอกาแฟบ้านเราเป็นอย่างดี
จำได้ว่า สมัยทำงานใหม่ๆ สัก 30 ปีก่อน ได้มีโอกาสชงกาแฟสดชิมเองเป็นครั้งแรกก็จากเครื่องชงสไตล์นี้นี่แหละ…ได้จิบกาแฟหอมกรุ่นสดชื่นในทุกเช้า ดีต่อใจจริงๆ
หลักการทำงานของเครื่องชงกาแฟดริปออโต้ก็ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก เทียบกับเครื่องชงแบบไซฟ่อนที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วถือว่าง่ายกว่ามากทีเดียว เริ่มแรกเทผงกาแฟสดที่บดค่อนข้างหยาบลงในกระดาษกรองที่วางอยู่บนกรวย เทน้ำเย็นใส่ภาชนะบรรจุน้ำที่ออกแบบมาติดกับตัวเครื่อง เสร็จสรรพก็กดปุ่มให้เครื่องทำงานเพื่อต้มน้ำ เมื่อน้ำร้อนได้ที่ก็จะพุ่งไปตามท่อลงสู่ผงกาแฟในฟิลเตอร์ แล้วกาแฟก็ไหลลงสู่เหยือกแก้วด้านล่าง คล้ายหลักการแช่กาแฟในน้ำร้อน ตามสไตล์ กาแฟดริปมือ นั่นเอง
ลองย้อนเวลามาดูพัฒนาการของเครื่องชงกาแฟกันบ้าง หลังจากมีบันทึกว่า การต้มกาแฟในฐานะเครื่องดื่ม เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่เยเมนราวกลางศตวรรษที่ 15
– ศตวรรษที่ 16 : ชาวเติร์กประดิษฐ์หมอต้ม “Cezve” หรือ “Ibrik” ถือเป็นอุปกรณ์ชงกาแฟชิ้นแรกของโลกเลยก็ว่าได้
– ค.ศ. 1830 : เครื่องไซฟ่อนต้นแบบ คิดค้นขึ้นจากฝีมือ S. Loeff แห่งเบอร์ลิน
– ค.ศ. 1852 : ชาวฝรั่งเศสจดสิทธิบัตรเครื่องชงเฟรนช์ เพรส เป็นครั้งแรก
– ค.ศ. 1884 : เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ ถูกสร้างขึ้นและจดสิทธิบัตรโดย อังเจโล โมริออนโด ชาวเมืองตูริน,อิตาลี
– ค.ศ. 1908 : เมลิตทา เบนซ์ แม่บ้านเยอรมันชาวเมืองเดรสเดน คิดค้นกาแฟฟิลเตอร์ขึ้นใช้ กระดาษเป็นตัวกรองแทนผ้าลินินที่มีราคาแพง
– ค.ศ.1933 : “Moka Pot” ใบแรกของโลก พัฒนาขึ้นโดยชาวอิตาลี ชื่อ “อัลฟองโซ บิอาเล็ตติ”
– ค.ศ. 1954-70 : เกิดเครื่องชงกาแฟดริปแบบไฟฟ้าขึ้นมา
ก่อนที่จะมีการผลิตเครื่องชงกาแฟดริปไฟฟ้าออกมานั้น ในปี ค.ศ. 1819 โจเซฟ อองรี มาเรีย โลรองซ์ ช่างบัดกรีชาวฝรั่งเศส ได้คิดค้นเครื่องต้มกาแฟแบบ ใหม่ขึ้นมาเรียกว่า Percolator เป็นหม้อต้มกาแฟแบบตั้งเตา หลักการทำงานคล้ายคลึงกับ Moka Pot ของอิตาลีมาก แต่ตัวบอดี้และชิ้นส่วนภายในต่างกัน
ขณะที่ทางฝั่งอเมริกา ก็มีการพัฒนาต่อยอดเครื่องชง Percolator ให้กะทัดรัดขึ้น และนำไปจดลิขสิทธิ์โดย เจมส์ เอช. เนสัน ชาวเมืองแมสซาชูเซตต์ ในปี ค. 1865 ซึ่งก็ได้รับความนิยมอยู่หลายสิบปี
แม้หม้อ Percolator แบบไฟฟ้า มีการพัฒนาผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 แต่การก้าวเข้ามาของกาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อ ตามด้วยการเปิดตัวเครื่องชงกาแฟดริปออโต้ในเชิงพาณิชย์ช่วงต้นทศวรรษ 1970 ความนิยมของเครื่อง Percolator ก็ลดลงถอยลงไปตามลำดับ
ในปี ค.ศ. 1954 ก็อตต์ล็อบ วิดมานน์ นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน ก็คิดค้นเครื่องชงกาแฟแบบดริปออโต้ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ภายใต้แบรนด์ “Wigomat” ทรงเป็นแบบ “หอคอยคู่” แยกเป็นส่วนภาชนะบรรจุน้ำ อีกส่วนเป็นอุปกรณ์กรวยกรองกาแฟ โดยมีท่อสเตนเลสเชื่อมต่อน้ำร้อนหยดลงสู่กรวยกรองกาแฟ หลังจากรูปแบบลงตัวแล้วก็เริ่มผลิตขายในเชิงพาณิชย์เมื่อปี ค.ศ. 1963 และหันไปผลิตป้อนคอกาแฟตามบ้านตามออฟฟิศในอีก 9 ปีต่อมา
ในเวลานั้น การชงกาแฟยังคงนิยมกันในแบบหม้อต้มมีกรอง หรือผ่านเครื่องชง Percolator ซึ่งทั้งสองกรณีมีข้อบกพร่องอยู่ตรงที่หากไม่มีการควบคุมอุณหภูมิความร้อนให้เหมาะสมแล้ว กาแฟก็จะเกิดกลิ่นไหม้ขึ้นมาทันที ดังนั้น เมื่อมีการเปิดตัวเครื่องชงดริปออโต้ ทาง Wigomat ก็โหมโฆษณาเน้นกลยุทธ์ตรงใจผู้บริโภค ประมาณว่า เป็นเครื่องที่มีการควบคุมอุณหภูมิในการต้มกาแฟได้ดีที่สุด..
ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของคำว่า “ครั้งแรก” ด้วยกันทั้งนั้น ในโลกของผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟก็เช่นกัน…
ในปี ค.ศ. 1963 Bunn-O-Matic บริษัทอุปกรณ์เครื่องดื่มในสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ ก็ประกาศว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟดริปออโต้ขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมมีการจดสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะเปิดตัวเครื่องชงแบบใช้ตามบ้านในอีก 10 ปีต่อมา ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูปร่างแล้ว ถือว่าเป็นเครื่องต้นแบบในปัจจุบันเลยทีเดียว
Bunn-O-Matic มาพร้อมกับรูปแบบเครื่องชงที่ต่างไปจากเดิม ไม่มีหอคอยคู่เหมือนของ Wigomat แต่มีภาชนะบรรจุน้ำอยู่ด้านบนสำหรับเติมน้ำ ด้านหลังเป็นแผงวงจรไฟฟ้า เมื่อน้ำร้อนได้อุณหภูมิ 93-97 องศาเซลเซียส ก็จะไหลไปตามท่อเข้าสู่กรวยกรองที่ใส่ผงกาแฟคั่วบดระดับกลาง จากนั้นค่อยๆทยอยหยดลงสู่เหยือกแก้วด้านล่าง มีประสิทธิภาพถึงขนาดชงได้ 6 แก้ว ภายในเวลาเพียง 2 นาทีครึ่ง เร็วกว่าของแบรนด์อื่น ๆ ถึง 3 เท่า ในเวลานั้น
ในทศวรรษที่ 1970 ถือเป็นยุคทองของธุรกิจเครื่องชงกาแฟดริปออโต้ โดยเฉพาะปีค.ศ. 1974 ในจำนวนเครื่องชงกาแฟที่ขายได้ในสหรัฐ 10 ล้านเครื่องนั้น มีอยู่ถึง 5 ล้านเครื่องที่เป็นแบบดริปออโต้
หลายๆบริษัทจึงพยายามเดินหน้าปรับปรุงและพัฒนา เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เน้นที่ความง่าย สะดวก ประหยัดเวลา ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ พลาสติกและวัสดุผสมเริ่มมีการนำมาใช้แทนที่โลหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเกิดขึ้นของเครื่องชงกาแฟดริปออโต้แบบใช้ในบ้านเป็นครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ “Mr.Coffee”
เครื่องดริปออโต้ที่คิดขึ้นโดย Mr.Coffee ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ พอเปิดตัวออกสู่ตลาดก็ได้รับความนิยมสูงโดยทันที ไอเดียที่ใส่เข้าไปนั้นถือว่าโดนใจคอกาแฟเอามากๆ เพราะมีการติดตั้งอุปกรณ์ทำความร้อนไว้ใต้เหยือก ทำให้กาแฟอุ่นพร้อมดื่มอยู่เสมอ ตอนแรกนั้น Mr. Coffee ผลิตเพื่อขายตามภัตตาคารร้านอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันก็เน้นทำตลาดนักดื่มตามออฟฟิศและบ้านด้วย
ในปีค.ศ. 1973 Mr. Coffee ควักเงินจ้าง โจ ดิมาจโจ้ อดีตนักเบสบอลอาชีพชื่อดังจากทีมนิวยอร์ก แยงกี้ ให้เป็นนายแบบโฆษณาขายเครื่องดริปออโต้ที่ออกอากาศทางทีวีไปทั่วสหรัฐ ปรากฎว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำยอดขายได้มากกว่า 1 ล้านเครื่องในปีต่อมา และเมื่อคริสต์มาสปี 1977 ก็สามารถขายได้มากกว่า 40,000 เครื่องต่อวัน ในห้างสรรพสินค้าทั่วสหรัฐ ต่อมา ดิมาจโจ้ ก็ได้รับงานเป็นโฆษกให้กับ Mr. Coffee อย่างเต็มตัว
เมื่อถึงปีค.ศ. 1996 ครัวเรือนอเมริกันราว 73% มีเครื่องชงกาแฟดริปออโต้อยู่ประจำบ้าน
ในปี ค.ศ. 1997 Keurig บริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ก็เปิดตัวเครื่องดริปออโต้แบบดื่มแก้วเดียว (single-cup brewer) สำหรับสำนักงานออฟฟิศ และเวอร์ชั่นประจำบ้าน ก็คลอดตามมาในปี ค.ศ. 2003
ในปัจจุบัน เครื่องชงกาแฟดริปออโต้มีหลากหลายทรงและรูปแบบ ดีไซน์สวยงาม สีสันก็มากมาย มีการเพิ่มฟังค์ชั่นให้ครบเครื่องแบบจบในตัว เรียกว่าอำนวยความสะดวกสบายสุดๆ เช่น ติดตั้งเครื่องบดกาแฟเข้าไปด้วย เพิ่มถาดอุ่นร้อน ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ ใส่ระบบป้องกันน้ำหยด กำหนดปริมาณการชงได้ เปลี่ยนไปใช้ฟิลเตอร์ถาวรพวกไนลอนแทนกระดาษ แถมสามารถถอดนำไปล้างทำความสะอาดได้ ฯลฯ
ถือเป็นเครื่องชงกาแฟที่ได้รับความนิยมสูงไปทั่วโลก มีการทำตลาดที่ชัดเจน เน้นที่ง่ายและรวดเร็ว ตอบโจทย์คอกาแฟในด้านเงื่อนเวลา ชงเองดื่มเองที่บ้านหรือที่ออฟฟิศก็ประหยัดเงินเห็นๆ ได้กาแฟที่สดและหอมกรุ่นกลิ่น แถมเลือกรสชาติที่ถูกใจได้เองอีกต่างหาก .ในเวลาเพียงไมกี่นาที ก็ได้ชิมกาแฟจากประสบการณ์การชงด้วยตัวคุณเอง
…เป็นอีกทางเลือกของคนรักชอบกาแฟ ในฐานะ Beverage of Choice…
facebook : CoffeebyBluehill