จากธุรกิจร้านอาหารส้มตำ ต่อยอดทำเป็นน้ำปรุงรสแบรนด์”ลาปาญ่า” โดยใช้นวัตกรรม และเข้าร่วมโครงการสำหรับเอสเอ็มอี ทำให้ได้พบเจ้าของเทรดรายใหญ่ สร้างโอกาสเติบโตให้ธุรกิจ
คุณานนต์ ทองงิ้ว เจ้าของธุรกิจน้ำปรุงรสสำเร็จรูปแบรนด์”ลาปาญ่า” กล่าวว่า เริ่มต้นธุรกิจจากร้านอาหารที่
จ.กำแพงเพชร บ้านเกิด เมื่อ 16-17 ปีที่แล้ว เป็นร้านส้มตำชื่อร้านลาปาญ่า ยกครก ซึ่งจะไม่ใส่ผงชูรส จากนั้น
ได้คิดทำเป็นน้ำปรุงสำเร็จรูป ซึ่งจะง่ายกว่า เวลาที่คนทำไม่อยู่ ก็สามารถตักน้ำทำขายลูกค้าได้ ซึ่งส่วนผสม
ของน้ำปรุงมาจากวัตถุดิบธรรมชาติแท้ 100%
จากนั้นในปี 2558 ก็เริ่มเข้าสู่โอทอป ได้รางวัลโอทอป 5 ดาว จากนั้นพัฒนาเป็นเอสเอ็มอี เริ่มทำเป็นธุรกิจเต็มตัวมากขึ้น เป็นบริษัทที่เป็นนิติบุคคล จดทะเบียนเรียบร้อย ภายใต้ชื่อบริษัท ไทยเดรซซิ่ง จำกัด โดยเป็นบ้าน ร้านอาหาร และโรงงานอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งโรงงานเป็นไปตามมาตรฐาน GMP
เรามีสินค้าอยู่ตัวเดียว แต่ครอบคลุม คือลาปาญ่ามาจากน้ำส้มตำก็จริง แต่เราทำมากกว่าน้ำส้มตำ ในขวดเดียวสามารถ ยำ ตำ เตี๋ยว น้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำผัดไทย น้ำหมี่กระเฉด ต้มข่าไก่ อะไรที่จี๊ดๆ เอาของเราไปปรุงขวดเดียวจบ สโลแกนของแบรนด์คือ “ยำ ตำเตี๋ยว น้ำเดียวเสร็จ โดยลาปาญ่า”
สูตรของเราจะที่ไม่ใส่พริกไว้ข้างใน ลูกค้าสามารถเป็นเด็กและผู้สูงวัยได้ แล้วสามารถเติมพริกได้เองถ้าต้องการเผ็ด นอกนั้นไม่ต้องเติมอะไรแล้ว เพราะเราเปรี้ยว หวาน ครบรสอยู่ในนั้นแล้ว แล้วมะนาวสดเราใช้แป้นรำไพของกำแพงเพชรโดยตรง เป็นมะนาวแท้ เสน่ห์ของแป้นรำไพคือเป็นมะนาวที่ส่งกลิ่นหอม
น้ำปรุงรสของเราไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่สารกันบูด ไม่เจือปนสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เพื่อสุขภาพ เก็บได้นานเป็นปี
โดยต้องผ่านกระบวนการทำนวัตกรรม คือผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ที่ 100 องศาก่อน จากนั้นเอาไปแช่ตู้เย็น
ก็จะยิ่งสด และเก็บไว้ได้นาน
คุณานนต์ เชื่อมั่นว่า มีสินค้าโอทอปหลายตัวที่ดีแต่ยังไม่ได้เกิด เพราะต้องเข้าใจว่าผู้สนับสนุนการเกิดของ
สินค้าโอทอปนั้นไม่มีโอกาสมาหาพวกเรา เพราะสินค้าในประเทศไทยมีหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นชนิด
ถ้าคุณยังอยู่กับที่ ไม่เอาตัวเองออกมาร่วมโครงการของรัฐบาล ซึ่งมีโครงการดีๆ หลายโครงการ ที่จัดโครงการ
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือโอทอป บางโครงการมีการแมชชิ่งด้วย ทำให้เจ้าของเทรดใหญ่ๆ ห้างใหญ่ๆ
มาเจอเรา คุณก็จะเสียโอกาส แต่ถ้าเอาตัวออกมาจากบ้าน ก็จะมีโอกาสที่ดีมากกว่า
“สมมติเราออกไปร่วมโครงการต่างๆ แล้วได้รับการคัดเลือก ไม่ว่าจะการพรีเซนต์ดีจริง สินค้าดีจริง ทุกอย่างดีจริง มีการรองรับดีจริง ผู้สนับสนุนหลักจะตามมา อยากให้หลายท่านที่ทำธุรกิจได้เป็นแนวทางความคิด อย่ามัวอยู่กับบ้าน ผมขายอยู่กับบ้านมาก่อนเกือบสิบปี แต่พอเราได้ออกมาก็ทำให้เรามีวันนี้ ก็มีเทรดต่างๆ เอาไปขาย การออกบูธหลายคนก็ทำอยู่แล้ว แต่เราควรจะเข้าโครงการสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือโอทอป เพื่อสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของเรา”
คุณานนต์ ได้เจอเดอะมอลล์ กรุ๊ป กับท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมกันในงานโครงการจีเนียสอะคาเดมี
โดยได้รับการคัดเลือกให้นำสินค้าไปวางขาย มีการพูดคุยกัน มีการเสนอราคาแล้วจบกันด้วยดี มีการ
เตรียมไปตั้งขาย โดยเดอะมอลล์บอกว่าแบบกล่องเอามาขายก่อนได้เลย ส่วนท็อปส์ขอรอแบบที่เป็นขวด
เราก็รอ แต่เราไม่ปล่อย มีการฟอลโลว์ตัวเอง และฟอลโลว์ท็อปส์ด้วย ขอบคุณที่รอเรา 1 ปี กว่าจะได้มา
เป็นขวด ซึ่งเราได้เงินทุนสนับสนุนจาก SME D Bank
ล่าสุด SME D Bank ก็เป็นสะพานให้เราพบกับทีมมาบุญครอง ที่จะคัดสินค้าของลูกค้า SME D Bank
ไปขาย ถ้าเราพรีเซนต์ดี SME D Bank เขาก็มองเราระดับหนึ่งแล้ว แล้ววันข้างหน้า พอเราถูกคัดเลือก
นอกจากเราขายได้ ธุรกิจเราใหญ่โตแล้ว เราก็วนกลับมาหา SME D Bank เรื่องเงินทุนได้อีก ตอนนี้
มาบุญครองก็ติดต่อกลับมาแล้ว ก็รอฝากผลงานกันต่อไป
สำหรับปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จจากธุรกิจดั้งเดิมที่เป็นร้านอาหาร แล้วต่อยอดเป็นน้ำปรุงรส คุณานนต์
กล่าวว่า อย่างแรกเลยคือคุณค่าของสินค้าเราคืออะไร ข้อต่อไปคือที่ปรึกษา ที่จะให้คำแนะนำและพาเรา
ไปพบเจอคนอื่นๆ อีกมากมาย เป็นการเชื่อมต่อโดยบุคลากร ดังนั้นเราต้องพาตัวเองออกไปจากบ้าน
ไปพบที่ปรึกษา พบอาจารย์ในโครงการต่างๆ
“กุญแจแห่งความสำเร็จนั้นไม่ได้มีดอกเดียว อยู่ที่จังหวะเราจะใช้ และเราต้องสแตนด์บายกุญแจไว้ 2-3 ดอก แล้วจะทำให้เราสำเร็จได้ และอีกดอกที่สำคัญ ถ้าเราไปเจอคนที่ดูแลเรา เทรดต่างๆ ที่เอาเราไปขาย หรือบุคคลทั่วไปที่พาเราออกไปต่างประเทศ เราต้องจริงใจ ซึ่งความจริงใจแบ่งเป็น 2 อย่าง จริงใจกับสินค้าของตัวเอง เราทานอย่างไร ลูกเราทานอย่างไร ลูกค้าก็ต้องได้ทานแบบนั้น และจริงใจกับคู่ค้า หรือคนที่เราพบ และลูกค้าของเรา”
@