ผู้บริหาร LINE เผย ต้องปรับ Mindset พนักงานให้มองโควิด-19 เป็นโอกาส ต้องมี Activity ด้วยความรวดเร็ว ปรับและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน และทำให้ชีวิตของผู้ใช้บริการสะดวกสบายขึ้น
ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท LINE ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ เราได้เห็นตัวเลขว่ามีคนมาใช้การบริการหลายๆ อย่างบน LINE มากขึ้น ทั้งการแชท วิดีโอคอล การส่งข้อความ การส่งสติ๊กเกอร์ มีการโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของ LINE MAN Services เติบโตขึ้นค่อนข้างเยอะ ประมาณ 300%
การใช้ LINE Official Account ในการทำมาค้าขาย ก็โตขึ้นจาก 3 ล้านบัญชี เป็น 4 ล้านบัญชี ภายในเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่ว่าจะใช้แพลตฟอร์มอื่นในการโชว์ของขาย แต่การจบการค้าขายจะมาจบบนแพลตฟอร์มของ LINE มีการขายของบน LINE เพิ่มมากขึ้นในช่วงนั้น เป็นเรื่องที่เราค่อนข้างภูมิใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถช่วยให้คนยังทำมาค้าขายได้ในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์
นอกจากนี้ ยังมีคนใช้ LINE ในการเป็น Entertainment Hub มีการอ่านข่าวผ่าน LINE TODAY ทำให้โตขึ้นเยอะ เพราะตอนนั้นคนสนใจข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับเรื่องของโควิด-19 รวมทั้ง LINE TV ก็โตขึ้นอย่างน่าภูมิใจ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเรื่องการใช้ดิจิทัลเพย์เมนต์ หรืออีเพย์เมนต์ และอีคอมเมิร์ซ สองอย่างนี้จะผูกไปด้วยกัน คือคนชอปปิงผ่านอีคอมเมิร์ซ ผ่าน LINE SHOPPING ทำให้ LINE SHOPPING และ Rabbit LINE Pay ก็โตขึ้นอีกเหมือนกัน
เรื่องอีเพย์เมนต์ ในอดีตหลายคนอาจไม่เคยทดลองใช้บริการซื้อของ หรือการจ่ายเงินออนไลน์ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิด Digital Migration ขึ้น พอทดลองใช้ หลังจากนั้นโควิด-19 อาจยังไม่จบ 100% แต่สังเกตได้ว่าคนที่เคยใช้ไปแล้ว เกิดการกลับมาใช้ใหม่ เมื่อได้ลองใช้แล้วติดใจ รู้สึกว่าปลอดภัย ซึ่งในภาพรวมเราพูดได้ว่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ยังมีพื้นที่ให้เจริญเติบโตค่อนข้างเยอะ แล้วดิจิทัลเพย์เมนต์จะเป็นกลไกหลักในการทำให้ตรงนี้โตขึ้นด้วย
ดร.พิเชษฐ กล่าวว่า เราเชื่อมาตลอดว่าเทคโนโลยีไม่ได้มาดิสรัปต์ชีวิตให้ยุ่งเหยิง แต่เทคโนโลยีมาดิสรัปต์วิธีเดิมๆ และจะมีวิธีใหม่ๆ มานำเสนอ ทำให้ชีวิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อเกิดโควิด-19 เทคโนโลยีก็เป็นตัวช่วยทำให้คนยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
สำหรับบริษัท LINE ประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 บริษัทเราทำ Work from Home มาก่อนโควิด-19 อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยคิดว่าจะให้พนักงานของเราทั้ง 100% Work from Home เมื่อถึงสถานการณ์ที่ต้อง Work from Home 100% เราก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวตามสถานการณ์ ทำอย่างไรให้คน Work from Home ให้มีประสิทธิภาพ เพราะบ้านทุกคนอาจไม่เหมาะกับ Work from Home เราก็ออกนโยบายให้พนักงานยืมอุปกรณ์สำนักงานกลับไปใช้ที่บ้านได้เลย ทั้งเก้าอี้ โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ ตอนนี้เราคิดว่าปรับตัวได้พอสมควร
ในการเดินหน้าหลังการเกิดสถานการณ์โควิด-19 LINE คงต้องเน้นการสร้างอินโนเวชั่นในการให้บริการและผลิตภัณฑ์ของเรากับผู้ใช้ของเราทั้งหมด โดยมี 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.พนักงานหรือองค์กรของเราต้องมีทัศนคติ หรือ Mindset ที่เปิดกว้าง ไม่ปิดกั้นความคิดของตัวเอง ทุกคนต้องสื่อสารกันได้ อยากให้พนักงานและองค์กรของเรามองปัญหาให้เป็นโอกาส โควิด-19 เป็นปัญหาสำหรับทุกคน และเป็นปัญหาสำหรับเราด้วย แต่เราต้องมองว่าเป็นโอกาส
2.เราต้องมี Activity ด้วยความรวดเร็วที่สูงมาก เพราะจังหวะนั้นเราไม่รู้ว่าโควิดจะจบเมื่อไร ถ้าเรา wait and see ตอนนั้น เราก็คงไม่โตได้ขนาดนี้
3.เราปรับและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราต้องเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้ ต้องเอาความต้องการและความสะดวกสบายของผู้ใช้เป็นหลัก สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ใช้ชาวไทย คือใช้ง่ายทันที ต้องไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ซึ่งเราให้ความสำคัญในส่วนนี้มากๆ
4.ผลิตภัณฑ์และบริการของเรา เราเน้นว่าจะต้องยกระดับชีวิตของทุกๆ คน ทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้น แล้วเขาจะเหลือเวลาไปทำในสิ่งที่เขาชอบ กับคนที่เขารัก เราพยายามดูพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดเวลาเพื่อจะตอบโจทย์ให้ถูกต้อง โดยศึกษาจากข้อมูลที่เรามี อันนี้เป็น 4 ปัจจัยหลักๆ ในการทำงานของเราหลังจากโพสต์โควิด
“พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงโควิด-19 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่ามีคนใช้เทคโนโลยี หรืออินเตอร์เน็ต ในการเข้ามาเป็นส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น และคนยังมีความจำเป็นที่ต้องสื่อสาร ไม่ใช่แค่เท็กซ์อย่างเดียว แต่ต้องการใช้วิดีโอคอลในการทำงาน เราเห็นคนเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น เพราะโควิด-19 บังคับให้ทุกๆ คนต้องมาทดลองใช้ดิจิทัล เมื่อเกิดการทดลองใช้แล้ว ก็มีคนที่กลับมาใช้ซ้ำเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ” ดร.พิเชษฐ กล่าว
ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับคนทำธุรกิจ คนที่ขายของบนอินเตอร์เน็ต ที่มีโอกาสจะขายของมากยิ่งขึ้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยน ตลาดได้โตขึ้น ความต้องการมีมากขึ้น ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์โตตาม และอย่างสุดท้ายทุกคนกำลังคิดว่าเราต้องกลับมาทำงานในสำนักงานอีกหรือเปล่า ซึ่งเราก็ต้องเอาตรงนี้มาเป็นข้อมูลในการวางแผนจัดการสำนักงาน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นพฤติกรรมผู้บริโภคโดยรวมที่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น @