การที่สถานการณ์โควิด-19 กลับมาระบาดรอบใหม่ ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย ทางหน่วยงานรัฐได้มีแผนงานและมีมาตรการป้องกัน ดังนั้นไม่ต้องวิตก ทุกอย่างอยู่ในมาตรการที่ควบคุมได้ เพียงแต่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด
สิ่งที่น่ากังวลก็คือโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกประมาณ 2 ปี จนถึงปี 2565 ซึ่งในช่วงนี้การเดินทางระหว่างประเทศ หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงน้อยมาก ดังนั้นคนค้าขายและเอสเอ็มอีทั้งหลายจะต้องพึ่งพาตลาดภายในประเทศ โดยเอาการบริโภคหรือการใช้บริการของคนไทยเป็นหลัก ส่วนการส่งออก มีปริมาณลดลงจากปี 2562 ประมาณ 10% ถือเป็นเรื่องธรรมดาและอาจน้อยกว่านี้อีก เพราะหลายประเทศอำนาจซื้อลดลง แต่ภาคเกษตรยังพอไปได้ คงไม่ลดลงมากนัก
ดังนั้น เอสเอ็มอีจะต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะความผันผวน การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน คาดการณ์ได้ยาก โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ก่อนหน้านี้แข็งค่ามาก แต่เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ก็อ่อนค่าลง เพราะฉะนั้นเอสเอ็มอีทั้งหลายจึงต้องบริหารความเสี่ยงให้เป็น พยายามแข่งขันกับตัวเอง ลดต้นทุน วางแผนค่าใช้จ่ายเรื่องสภาพคล่องทางการเงินให้ดี โดยต้องวางแผนให้รัดกุม
ส่วนเรื่องแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งนี้คงเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ประกอบการใช้แรงงานที่ถูกกฎหมาย แม้ว่าอาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น แต่ต้องทำให้ถูกหลักเกณฑ์ แล้วดูแลสวัสดิการ รวมทั้งที่อยู่อาศัยให้เขาอย่างดี ถ้าเราดำเนินการให้ถูกกฎระเบียบ ถูกหลักสากลเรื่องมนุษยธรรม ประสิทธิภาพของแรงงานก็จะเกิดขึ้นเอง จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ต้องอาศัยแรงงานจำเป็นที่จะต้องหาเครื่องมือ หรือนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
สำหรับช่องทางใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์ หรือดิจิทัลนั้น จะเป็นหลักในการที่จะอยู่รอด อยู่ได้ อยู่เป็น ในอนาคตของเอสเอ็มอี ซึ่งใครที่คิดว่าจะเริ่มก็ต้องเริ่มทำเลย อย่าช้า เพราะวันนี้เห็นชัดเจนว่าช่องทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ธุรกิจของเรามีปริมาณการค้าขายได้ เพราะคนไม่สามารถเดินทาง หรือเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้คนก็อยู่บ้าน แต่ความต้องการสินค้านั้นยังมีอยู่ ถ้ามีพิกัดหรือมีแผนที่ค้าขายออนไลน์ ก็สามารถติดต่อกับผู้ประกอบการได้ และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์
ยุคข้างหน้าเป็นยุคที่เราจะต้องบริหารจัดการต้นทุน หรือบริหารนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี ที่ทำให้เรามีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น เราไม่สามารถที่จะทำงานโดยใช้แค่แรงงานแปรรูป แต่เราต้องใช้เครื่องมือหรือวิทยาศาสตร์ต่างๆ เข้ามาช่วยให้สินค้าเหล่านั้นมีมูลค่าเพิ่ม หรือแตกต่างจากคนอื่น เราต้องแปรรูปอาหารที่ทำให้ออกมาเป็นสมุนไพร หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลเรื่องสารเจือปนต่างๆ ที่จะลงไปถึงชุมชนอย่างเข้มงวด
สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก เอสเอ็มอีทั้งหลายที่จะไปต่อในปี 2564 หลักสำคัญคือต้องปรับตัวให้ไว เริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนภายในประเทศ ซึ่งวันนี้กลุ่มคนภายในประเทศที่มีอำนาจซื้อมากที่สุด คือกลุ่มที่อยู่ในยุคเบบี้บูม มีเงินออม พร้อมที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง อายุประมาณ 60 ปี
ดังนั้นสินค้าที่ผลิตต้องมีคุณภาพ เน้นไปยังปัจจัยที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้ได้ จากการที่เราควบคุมใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เพราะคนกลุ่มนี้มีอำนาจซื้อพอๆ กับต่างประเทศเลย แล้วนำส่งผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้สามารถใช้ช่องทางชำระเงิน หรืออีคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนต์ หรืออีโลจิสติกส์ได้อย่างสมบูรณ์ ก็เป็นช่องทางการค้าใหม่ๆ ที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก เชื่อว่าตลาดภายในประเทศยังมีความสามารถที่จะเติบโตได้อีก ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนหันมาช่วยกันพัฒนาในส่วนนี้ @