การกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลต่อบุคคล (Peer to peer lending : P2P Lending) โดยผ่านระบบออนไลน์และไม่ผ่านคนกลางหรือธนาคาร ซึ่งเกิดขึ้นในต่างประเทศมานานกว่า 10 ปี ข้อดีคือ ทำให้ผู้กู้รายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้เงินผ่านระบบธนาคาร
ขณะที่ในประเทศไทยกลุ่มลูกค้า SME หรือ ผู้ประกอบการรายย่อย มักเข้าถึงแหล่งเงินทุนค่อนข้างยาก และมีต้นทุนทางการเงินสูง ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้มีความได้เปรียบเสียเปรียบ หรือ มีความเหลื่อมล้ำในด้านต้นทุนทางการเงิน
ปพนธ์ มังคละธนะกุล ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ บริษัท เนสท์ติฟลาย จำกัด (NestiFly) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Share Loan กล่าวว่า ทางบริษัท ได้เปิด Business Model ใหม่ในการกู้ยืมเงิน โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร โดยผ่านแอปพลิเคชั่น Share Loan ซึ่งแนวคิดของโมเดลใหม่นี้ เป็นรูปแบบ Peer-to-Peer Lending Platform คือ ผู้ให้บริการระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นตัวกลางสนับสนุนการก่อให้เกิดการกู้ยืมระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ โดยจับคู่ระหว่างผู้ที่ต้องการกู้เงินและผู้ที่ต้องการให้กู้ รวมถึงอำนวยความสะดวกในการทำสัญญาสินเชื่อ การนำส่งและจ่ายคืนเงินกู้ และการติดตามหนี้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้ และเพิ่มทางเลือกในการลงทุน
โดยขณะนี้ ธปท. ได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว แต่กำหนดให้บริษัท ให้บริการในวงจำกัดภายใต้ Regulatory Sandbox จนประสบความสำเร็จ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบริหารความเสี่ยงและการดูแลผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม จึงจะสามารถยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังเพื่อประกอบธุรกิจในวงกว้าง
ปพนธ์ กล่าวว่า Business Model ใหม่ นี้ ส่วนหนึ่งตกผลึกจากช่วงที่ทำงานธนาคารยักษ์ใหญ่ในไทยแห่งหนึ่งดูแลลูกค้า SME ได้เห็น ได้สัมผัสกับธุรกิจรายย่อยจำนวนมาก และลาออกมาเป็นที่ปรึกษา ก็ได้สัมผัสกับธุรกิจ SME ในอีกมิติหนึ่ง
โดยพบว่า pain point ที่เห็นมาตลอด เวลาธนาคารที่จะปล่อยกู้ SME ถ้าต้องการได้ดอกเบี้ยถูก SME ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง อสังหาริมทรัพย์
แต่ในชีวิตจริงคนเรากว่าจะมีบ้าน มีที่ดิน อายุก็มากแล้ว ขณะที่เทรนด์สมัยนี้ การเริ่มต้นธุรกิจเร็วกว่าสมัยก่อน คนรุ่นใหม่ เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ซึ่งการเงินเป็นตัวช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้ แต่จะสะสมจนถึงวันหนึ่งมีบ้านมีที่ดิน เพื่อเป็นหลักประกันแบงก์ ต้องใช้เวลานาน และหากจะขอสินเชื่อแบงก์ อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงจนเกินไป
“ชีวิตคนเราเริ่มทำงานเก็บเงิน หรือสะสมทรัพย์สินทางด้านการเงิน มีเงินหลักหมื่น ก็ลงทุนซื้อหุ้น ได้ แต่ถ้าจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ อายุน้อยๆ ก็ยังหาเงินได้ไม่มากพอที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์
ระหว่างนี้ถ้าอยากจะทำธุรกิจขึ้นมาจะทำอย่างไร จะกู้เงินแบงก์ ก็ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพราะ แบงก์จะให้กู้ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็น บ้าน ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรืออาจกู้ได้แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง ร้อยละ 10 ปลายๆ 20 ต้นๆ หลายๆ อย่างไม่ตอบโจทย์ ทำไม่ได้”
ซีอีโอ บริษัท เนสท์ติฟลาย กล่าวว่า จาก pain point เหล่านี้ ทำให้คิดได้ว่า ทำไมไม่เอาหลักทรัพย์ หรือหุ้น มาค้ำประกัน
โดยทำการศึกษา พบว่าบุคคลรายย่อยมีการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เกือบ 2 ล้านราย และในจำนวนนี้ มีประมาณ 4-5 แสนรายที่ถือหุ้นพื้นฐานดี เป็นหุ้นที่อนาคตดี จึงมาคิดว่าถ้าเกิด 4-5 แสนรายนี้ ต้องทำธุรกิจ หรือทำธุรกิจอยู่แล้วที่มีต้นทุนการเงินแพงกว่ารายใหญ่ น่าจะสามารถเอาไปรีไฟแนนซ์ได้
“ยกตัวอย่าง ที่กำลังฮิตตอนนี้ ก็คือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เกิดขึ้นเร็ว วิธีการก็คือเอาเงินไปซื้อสินค้ามาแล้วขายไปได้เงินมาเป็นวงจร ถ้าเขามีเงินเข้ามาใหม่เป็นก้อน ในการกู้เงินธุรกิจดี ก็สามารถเติบโตได้เร็วขึ้น ก็เห็นช่องทางในการเติบโต แต่ถ้าทุนส่วนตัวหมดแล้ว ก็ต้องไปกู้ดอกเบี้ยนอกระบบ 18-20% ทำธุรกิจไปก็แทบไม่เหลือกำไร แต่ถ้า product ที่เราทำขึ้นมาคือ Share Loan ดอกเบี้ยแพงสุด ร้อยละ 6 ต่อปีทำให้ margin หรือ กำไร เขาดีขึ้นประมาณ 10% ขึ้น ธุรกิจอะไรที่ซื้อมาขายไปอย่างนี้อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยในการไปหมุนให้วงจรธุรกิจมันเติบโตเร็วขึ้น”
ปพนธ์ อธิบายว่า เข้ามาทำ NestiFly เป็นหนึ่งในสามผู้ประกอบการประเภทนี้ แต่มีผลิตภัณฑ์ต่างกัน โดยทาง NestiFly เป็นเจ้าเดียว ที่ใช้คอนเซ็ปท์ หลักทรัพย์ค้ำประกันโดยใช้หุ้นที่บุคคลนั้น หรือ นิติบุคคลนั้นมีอยู่ในมือ มาค้ำประกันเงินกู้ได้ ซึ่งเป็นมิติใหม่ ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย
“ช่วงแรกนี้ เราได้รับอนุมัติ จาก ธปท.ให้ปล่อยกู้ได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท หรือที่ เป็นให้บริการในวงจำกัดภายใต้ Regulatory Sandbox จนประสบความสำเร็จ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบริหารความเสี่ยงและการดูแลผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม และหากมีความต้องการเพิ่มขึ้นและไม่มีอะไรบกพร่องก็สามารถขออนุมัติขยายงานต่อไป”
ซีอีโอ NestiFly กล่าวว่า ผู้จะลงทุน สามารถโหลดแอปพลิเคชั่น Share Loan ในมือถือระบบแอนดรอย์ ส่วนระบบ ios รออีกประมาณ 2 เดือน เมื่อโหลดแล้ว สามารถถ่ายรูปสแกนพาสปอร์ตลงทะเบียน ส่วนผู้ลงทุน (หรือนำเงินมาปล่อยกู้) สามารถต้อต่อ กับ บล.บัวหลวง แจ้งว่าต้องการลงทุน P2P Lending เพื่อเปิดบัญชีกับ บล.บัวหลวง โดยหุ้นจะจำนำในนามคนปล่อยกู้ ถ้าผู้กู้ไม่มาชำระหนี้คืน ทาง บล.บัวหลวง จะขายหุ้นดังกล่าวให้กับผู้ให้กู้ เพื่อชำระหนี้คืน โดยการปล่อยกู้ จะไม่เกิน 50 % ของมูลค่าหุ้น โดยยังมี 50%ให้ราคาหุ้นแกว่งไปมา เพื่อนักลงทุน หรือผู้ให้กู้ มั่นใจในการลงทุนในโมเดลนี้
“ผลตอบแทนนักลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือนอยู่ที่ประมาณ 3.25-4 % ต่อปี เทียบจากฝากธนาคารไม่ถึง 1 % ต่อปี หุ้นกู้ที่ดีมากๆ 3-4 ปี ได้ 3 % กว่าๆ ของเรา 6 เดือนเกือบ 4 % ถ้าเทียบระยะเวลาการลงทุนกับผลตอบแทนเราเชื่อว่าดีที่สุดในตลาด” ซีอีโอ NestiFly กล่าว