เอธิโอเปีย มีชื่อเสียงมายาวนานในฐานะผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นประเทศต้นกำเนิดสายพันธุ์กาแฟเฉพาะถิ่นที่เติบโตตามป่าธรรมชาติอยู่มากมาย
ก่อนที่สายพันธุ์เหล่านี้จะถูกนำออกไปจากดินแดนกาฬทวีปเมื่อหลายร้อยปีก่อน เข้าสู่ดินแดนโพ้นทะเลทั้งในทวีปเอเชียและอเมริกากลาง/ใต้ จนกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลในปัจจุบัน
กาแฟในเอธิโอเปียนั้นเป็นมิติทางสังคมที่ถักทอจนเป็นผืนผ้าแห่งวัฒนธรรมมาเป็นร้อยๆปีแล้ว ผ่านพิธีชงกาแฟต้อนรับแขกผู้มาเยือน และด้วย คำพูดทักทายที่ใช้สื่อสารกันจนติดปากจนเป็นวิถีของคนพื้นถิ่นที่นี่ก็คือ “buna tetu” ซึ่งแปลว่า “ดื่มกาแฟ” แล้วก็ยังมีสำนวนที่ว่า “buna dabo naw” แปลว่า “กาแฟคือขนมปังของเรา” แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญยิ่งของกาแฟในฐานะแหล่งสร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีวิตที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในระบบเศรษฐกิจ
แต่มาวันนี้ “กาแฟป่าในเอธิโอเปีย” (Ethiopia Forest Coffee) ในพื้นที่ราว 400,000 ไร่ เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เป็นจุดที่ต้องรีบหาแนวตั้งรับเมื่อเผชิญเข้ากับภัยคุกคามครั้งใหญ่ในอนาคต จากสภาพแปรปรวนของอากาศที่เรียกกันว่า “ภาวะโลกร้อน”
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมมานี้เอง รัฐบาลเอธิโอเปียกับองค์กรเอกชนระหว่างประเทศ ได้ร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม ริเริ่มทำโครงการ “คุ้มครอง” และ “สนับสนุน” ผืนป่าตะวันตกของเอธิโอเปียที่เป็นแหล่งใหญ่ของกาแฟป่าที่เติบโตตามธรรมชาติ ด้วยเป็นหนึ่งในสายพันธุ์พืชที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกร้อน
ย้อนกลับไปในอดีต กาแฟป่าสายพันธุ์อาราบิก้าจากเอธิโอเปียถูกค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 จนเริ่มได้รับความนิยมในฐานะตัวกระตุ้นความสดชื่น แก้อาการง่วงเหงาหาวนอน ทำให้กาแฟป่าถูกเก็บเกี่ยวโดยคนพื้นเมืองแล้วขายให้พ่อค้าชาวอาหรับที่ส่งเมล็ดกาแฟข้ามทะเลแดงไปยัง ท่าเรือมอคค่า ในเยเมนิอีกทอด เพื่อจำหน่ายภายในคาบสมุทรอาระเบีย
ต่อมา ชาวดัทช์เป็นผู้ลักลอบนำกาแฟซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามออกไปปลูกยังดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลเมื่อปีค.ศ. 1600 จนมีการแยกแยะกาแฟดังกล่าวออกเป็น 2 สายพันหลักๆ ได้แก่ ทิปปิก้า (Typica) กับ เบอร์บอน (Bourbon) ไม่นานนัก กาแฟ 2 สายพันธุ์นี้ได้แตกลูกแตกหลานเป็นกาแฟเชิงพาณิชย์อีกจำนวนมาก ผ่านทางการพัฒนาโดยมนุษย์หรือกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ตามบันทึกปูมกาแฟระบุไว้ว่า เส้นทางการค้ากาแฟซึ่งรวมทั้งพืชผักผลไม้ชนิดอื่นๆ จากตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาหรือที่เรียกกันว่า “จะงอยแห่งแอฟริกา” (Horn of Africa) ไปยังเยเมนผ่านทางบับเอลมันเดบ ช่องแคบทางใต้สุดของทะเลแดง เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 6 ภายใต้การควบคุมดูแลของจักรวรรดิโบราณ “อักซุม” ซึ่งปัจจุบันเมืองหลวงของอาณาจักรเก่าแก่นี้ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของเอธิโอเปียนั่นเอง
เอธิโอเปียเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 5 ของโลก มีสถานะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดในแอฟริกา มีปริมาณการส่งออกราว 230,000 ตัน ในปีค.ศ. 2018 คิดเป็นมูลค่าราว 862 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินรายได้ถึง 1 ใน 4 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด และในจำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคนนั้น มีอยู่ถึง 15 ล้านคนที่ทำงานอยู่ในตลาดธุรกิจกาแฟไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ปัจจุบัน เอธิโอเปียแบ่งรูปแบบการผลิตกาแฟออกเป็น 3 แบบตามแหล่งผลิต คือ
1.กาแฟป่า (Forest Coffee) เป็นกาแฟที่เติบโตขึ้นเองในป่าธรรมชาติ มีคนท้องถิ่นในพื้นที่เข้าไปเก็บเอามาขายเช่นเดียวกับผลไม้ป่าอื่นๆ
2.กาแฟสวน (Garden Coffee) เป็นสวนกาแฟขนาดเล็กที่ปลูกควบคู่ไปกับพืชผักอื่นๆ เป็นรูปแบบผลิตส่วนใหญ่ของประเทศ
3.กาแฟไร่ (Plantation Coffee) ปลูกกาแฟกันเป็นไร่ขนาดใหญ่ ทว่ามีจำนวนไม่มากนัก
กาแฟที่ปลูกกันตามสวนกาแฟโดยเกษตรกรรายเล็กๆนั้น มีประมาณ 40 สายพันธุ์ ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้มีความทนทานต่อโรคและให้ผลผลิตสูงโดยศูนย์วิจัยพันธุ์พืชจิมม่า (JARC) ทำให้กาแฟเหล่านี้มีชื่อเรียกกันว่า “สายพันธุ์เจเออาร์ซี” ส่วนกาแฟที่เติบโตตามป่าเอธิโอเปียนั้น ตามข้อมูลบอกว่ามีมากกว่า 10,000 สายพันธุ์ทีเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีการจำแนกพันธุกรรมของกาแฟอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแต่อย่างใด
ประมาณการกันว่า ราว 45% ของตัวเลขการผลิตกาแฟทั้งระบบนั้น เป็นส่วนกาแฟที่เก็บเกี่ยวจากในป่าธรรมชาติ
ส่วนโซนปลูกกาแฟนั้นแบ่งออกเป็นหลายโซนด้วยกันตั้งแต่ ซิดาโม (Sidamo), เยอร์กาเชฟ (Yirgacheffe), ลิมู (Limu), จิมมา (Jimma), ฮาร์รา (Harrar), ดีจิมา (Djima), กูจิ (Guji ), เกนนิกา (Genika), คาฟฟา (Kaffa), เบนช์มาจิ (BenchMaji), บาเล (Bale) ไปจนถึง เลเคมติ (Lekempti)
เนื่องจากไม่มีข้อมูลด้านพันธุกรรมของกาแฟ ทำให้บริษัทต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาซื้อ “กาแฟพิเศษ” (specialty coffee) ในเอธิโอเปีย กำหนดความแตกต่างของกาแฟโดยใช้โซนปลูก, ระดับความสูง และคะแนนคัปปิ้งสกอร์ เป็นสำคัญ ดังนั้น พอไม่รู้ว่าเป็นกาแฟสายพันธุ์ไหน เลยเหมาเรียกรวมๆเหมือนกันว่า “แฮร์ลูม” (Heirloom) ที่ภาษาอังกฤษ แปลว่า มรดกสืบทอด และมักนำไปใช้เรียกพืชที่เป็นพันธุ์แท้หรือพันธุ์เฉพาะถิ่นจริงๆ
ในฉลากกาแฟจากเอธิโอเปีย เรามักจะเห็นคำว่า แฮร์ลูม คำนี้จึงไม่ได้หมายถึงพันธุ์กาแฟตัวใดตัวหนึ่ง แต่โดยรวมหมายถึงกาแฟพันธุ์ “ดั้งเดิม” ที่พบและปลูกกันในเอธิโอเปีย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์ไหนในจำนวนกว่า 10,000 สายพันธุ์ อาจเป็นกาแฟป่า หรือผสมรวมๆกันมาก็ได้ ขึ้นอยู่กับการจำแนกแยกแยะระหว่างโพรเซส และการให้ข้อมูลรายละเอียดของผู้ปลูกแต่ละรายแต่ละไร่ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่า เกษตรกรท้องถิ่นก็มีคำเรียกชนิดของต้นกาแฟในภาษาตนเอง ส่วนใหญ่เป็นชื่อเรียกที่ตั้งขึ้นตามลักษณะทางกายภาพของต้นกาแฟนั้นๆ
อย่าง “กาแฟวูชวูช” (WushWush) ที่เริ่มได้รับความนิยมในตลาดโลก รวมทั้งธุรกิจกาแฟไทยเราก็นำเข้ามาคั่วขายในแบบกาแฟพิเศษ จัดเป็นกาแฟที่ค่อนข้างหายากและผลผลิตมีจำนวนน้อย ชื่อเรียกก็มาจากโซนหรือสถานที่ที่พบเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับกาแฟเอธิโอเปียตัวอื่นๆ โดยแหล่งปลูกกาแฟตัวนี้ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย ไม่ไกลจากโซนปลูกจิมมาและซิดาโมเท่าใดนัก
และเช่นเดียวกับสายพันธุ์กาแฟที่มีชื่อเสียงของโลกระดับนางงามจักรวาลอย่าง “เกสชา/เกอิชา” (Geisha) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากเอธิโอเปีย กาแฟวูชวูช ถูกนำเข้าไปยังอเมริกาใต้ราว 30 ปีก่อนหน้านี้ ปัจจุบันปลูกกันอยู่ในโคลอมเบีย
จากกาแฟป่าสู่กาแฟเชิงพาณิชย์ที่ขายกันทั่วโลก แล้วก็เติมมิติด้านการดูแลเอาใจใส่เข้าไปในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จนขยับก้าวมาเป็นกาแฟพิเศษในยุคสมัยนี้ แต่แล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้้เอง บรรดาสายพันธุ์กาแฟป่าจากเอธิโอเปียดูเหมือนว่ากลายเป็นสายพันธุ์ที่ถูกจัดสถานะให้มีความเสี่ยงต่อการ “สูญพันธุ์” (endangered species) เป็นครั้งแรกไปเสียแล้ว หลังจากนักวิทยาศาสตร์แห่งสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว (Royal Botanic Gardens, Kew) ในกรุงลอนดอน ได้เผยแพร่ผลงานการวิจัยออกมาในปีค.ศ. 2019
งานวิจัยจาก “สวนคิว” ระบุว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยคุกคามต่อสายพันธุ์กาแฟป่าทั่วโลก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ค่อนข้างสูง โดยสายพันธุ์กาแฟป่าที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้มีประมาณ 60% เรื่องนี้ส่งผลให้รัฐบาลเอธิโอเปียนิ่งดูดายไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากกาแฟป่าส่วนใหญ่ก็อยู่ในเอธิโอเปีย แล้วรายได้ทางเศรษฐกิจจากการส่งออกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ ก็เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ นี่ยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องการดื่มกาแฟที่กลายมาเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไปแล้ว
ขณะที่ เนเจอร์ แพลนท์ส (Nature Plants) วารสารทางวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ ระบุในงานวิจัยว่า “ปริมาณฝน” ที่ตกในช่วงฤดูแล้งของเอธิโอเปียลดลงระหว่าง 15-20% มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ การวัดปริมาณน้ำฝนพบว่า ปริมาณฝนลดลงมากกว่า 40 นิ้วนับจากปีค.ศ. 1950 เป็นต้นมา นั่นหมายความว่า ความแห้งแล้งได้ทวีเพิ่มขึ้นทุกขณะ เอธิโอเปียอาจสูญเสียพื้นที่ปลูกกาแฟระหว่าง 39-59% ภายในสิ้นศตวรรษนี้ จากผลของภาวะโลกร้อน
ไม่ใช่กระทบเฉพาะต้นกาแฟตามไร่ตามสวนเท่านั้น ปริมาณฝนตกที่น้อยลงซึ่งผันแปรกับความแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อการดำรงอยู่ของสายพันธุ์กาแฟป่าที่เติบโตตามธรรมชาติ เรียกว่า กาแฟเอธิโอเปียถือเป็น “แถวหน้า” ที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้เลยทีเดียว
งานวิจัยดังกล่าวได้นำไปสู่ความร่วมมือระหว่าง “รัฐบาลเอธิโอเปีย” กับ “เทคโนเซิร์ฟ” องค์กรไม่แสงผลกำไรระหว่างประเทศ จัดทำโครงการระยะ 8 ปี ในชื่อว่า “หุ้นส่วนแห่งป่า” (Partnerships for Forests) เพื่อหาแนวทางสร้างความยั่งยืนให้กับผืนป่าซึ่งเป็นแหล่งเติบโตของกาแฟป่าเอธิโอเปีย ช่วยปกป้องผืนป่าจากภาวะโลกร้อนและปัญหาการบุกรุกตัดไม้ มีการระดมทุนผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาโดยรัฐบาลอังกฤษเมื่อกลางปีที่แล้ว
เป้าหมายของโครงการนี้ นอกจากจะโฟกัสไปยังการคุ้มครองผืนป่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่อง “การตลาดกาแฟป่า” โดยตามแผนนั้น จะมีการนำกาแฟป่าที่เก็บเกี่ยวผลโดยคนท้องถิ่น มาเข้าสู่กระบวนการแปรรูปและผลิตตามระบบของกาแฟพิเศษ เพื่อออกจำหน่ายให้กับคอกาแฟในตลาดต่างประเทศด้วย เมื่อได้รับราคาขายกาแฟป่าที่สูงขึ้น ก็เชื่อว่าจะเป็นแรงจูงใจให้คนในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันรักษาผืนป่าอันเป็นแหล่งรายได้เอาไว้
สำหรับผู้ที่ซื้อกาแฟมาดื่มนั้นจะได้รับประโยชน์ถึง 2 ทางด้วยกัน คือ หนึ่งมีส่วนร่วมในการช่วยพิทักษ์รักษาความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่า และสองได้ดื่มกาแฟคุณภาพดีๆ ด้วย
โครงการนี้ประเดิมงานชิ้นแรกด้วยการจัดทำหนังสือคู่มือหน้า 70 หน้า เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวกาแฟป่าเอธิโอเปียที่กำลังตกอยู่ในภาวะเปราะบางจากสถานการณ์โลกร้อนและปัญหาตัดไม้ทำลายป่า จนเป็นปัจจัยคุกคามวิถีการผลิตกาแฟแบบดั้งเดิมและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ พร้อมกับแสดงแผนที่โซนปลูกกาแฟไว้อย่างละเอียดทีเดียว สามารถคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.technoserve.org
เทคโนเซิร์ฟ เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจกระโดดเข้าร่วมอนุรักษ์กาแฟแห่งผืนป่าเอธิโอเปีย แล้วสรุปสถานการณ์ สะท้อนภาพปัญหา และจัดทำโครงการช่วยเหลือออกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก เพราะปัจจัยลบจากภาวะโลกร้อนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาใหญ่เพียงเรื่องเดียวของกาแฟป่าเอธิโอเปียเท่านั้น ยังมีจากปัญหาตัดไม้ทำลายป่าซึ่งมีผลคุกคามต่อทั้งผืนป่า กาแฟป่า และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในนั้นด้วย
เอธิโอเปีย เป็นชาติเดียวในโลกที่มีต้นกาแฟป่าเติบโตในไพรกว้าง ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ในผืนป่าอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นบริเวณที่ติดต่อกับเขตแดนประเทศซูดานใต้ เป็นป่าธรรมชาติซึ่งชาวบ้านยังคงใช้ประโยชน์จากการเดินเข้าป่าไปเก็บผลเชอรี่สุกสีแดงของกาแฟมาขาย ในลักษณะที่เรียกเข้าไป “เก็บของป่า” โดยไม่ต้องลงแรงทำไร่กาแฟแต่ประการใด
ในจำนวนป่ากาแฟ 400,000 ไร่นั้น มีบางส่วนยังคงเป็นป่ารุ่นเก่าที่ยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมเอาไว้ได้ เช่นที่ คาฟฟา (Kaffa), เชก้า (Sheka) และเบเลเต้-เกรา (Belete-Gera) นอกจากป่าจะมีประโยชน์ในด้านการกักเก็บคาร์บอนในปริมาณสูง และเป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังเป็นสถานที่ศึกษาพันธุกรรมของกาแฟอาราบิก้าดั้งเดิมอีกด้วย โดยเฉพาะในป่าของโซนคาฟฟาเพียงโซนอย่างเดียว มีกาแฟป่ามากกว่า 5,000 สายพันธุ์เข้าไปแล้ว
จะว่าไปแล้ว ป่ากาแฟในโซนคาฟฟา ห่างจากอาดดิสอาบาบา เมืองหลวงของประเทศ ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 300 ไมล์นั้น ก็ถือว่ามีความสำคัญมากในระดับที่ต้องใช้คำว่า “หัวใจ” ของกาแฟเอธิโอเปียเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นจุดที่มีการ “ค้นพบ” กาแฟป่าเป็น “แห่งแรก” ของโลก หรืออีกนัยหนึ่ง นี่คือสถานที่ “นับหนึ่ง”ของเครื่องดื่มที่ต่อมาได้รับความนิยมสูงสุดไปทั่วโลก ก็คงไม่ผิดจากนี้นัก
ที่ผ่านมา สาเหตุหลักของการบุกรุกพื้นที่ป่าทั่วประเทศในเอธิโอเปีย มาจากการขยายพื้นที่ทำเกษตรกรรมและความต้องการไม้เพื่อทำเชื้อเพลิง ส่งผลให้พื้นที่ป่าธรรมชาติของประเทศรวมไปถึงป่ากาแฟ ลดลงไปถึง 1 ใน 3 อย่างไรก็ตาม ป่ากาแฟที่หลงเหลืออยู่ยังคงมีชาวบ้านเข้าไปเก็บผลกาแฟสุก แล้วขายให้คนซื้อในราคาที่ต่ำมาก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว กาแฟจากป่าเอธิโอเปียแม้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็ล้วนแต่มีคุณภาพสูง เป็นที่ปรารถนาของตลาดกาแฟพิเศษทั่วโลกเป็นยิ่งนัก
กาแฟจากเอธิโอเปียมีชื่อเสียงมากในเรื่องกลิ่นรสโทน “ผลไม้&ดอกไม้” เมื่อดื่มแล้วรับรู้ได้ถึงความหอมเหมือนกลิ่นดอกไม้แห้ง รสชาติออกแนวหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ให้ความสดชื่นและกระชุ่มกระชวย ผู้เขียนเมื่อลองดื่มแล้ว ก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงเป็นที่ต้องการของคอกาแฟเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คาเฟ่แนวกาแฟพิเศษทุกร้านทั่วโลกหนีไม่พ้นที่จะต้องมีกาแฟจากเอธิโอเปียอย่างน้อยหนึ่งตัว มาประดับเป็นเมนูหลักสำหรับเรียกลูกค้าเข้าร้าน
บรรดาผู้ทำโครงการอนุรักษ์กาแฟป่าเอธิโอเปียเองก็ตั้งความหวังเอาไว้ว่า เมื่อชาวบ้านได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการเก็บผลสุกกาแฟป่ามาขาย จะเป็นแรงดึงดูดใจให้ช่วยกันปกป้องผืนป่าและกาแฟป่าที่หลงเหลืออยู่
กาแฟเอธิโอเปียมีต้นกำเนิดจากป่า เป็นต้นทางของกาแฟที่ปลูกกันเป็นไร่อย่างในปัจจุบัน ไม่น่าเชื่อ…จนถึงวันนี้ ก็ยังมีต้นกาแฟป่าหลงเหลืออยู่ที่นั่นตรงที่มันเกิดแรกๆ ยืนต้นแผ่กิ่งก้าน ออกดอกออกผล ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ในผืนป่าที่มีความพิเศษเฉพาะตัว และเต็มไปด้วยทรัพยากรอันทรงคุณค่า เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงครอบครัวชาวพื้นเมืองนับพันๆครอบครัว นี่ยังไม่นับรวมไปถึงความสำคัญในฐานะที่เป็นเสมือนธนาคารเก็บรวบรวมพันธุกรรมของสายพันธุ์กาแฟดั้งเดิม
….จึงควรค่าแก่การสงวนรักษาเอาไว้ให้เป็นสมบัติแห่งมวลมนุษยชาติเพื่อศึกษาและใช้ประโยชน์สืบต่อไปในอนาคต
facebook : CoffeebyBluehill