เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า กาแฟดริปเป็นหนึ่งในวิธีการชงกาแฟที่เราออกแบบรสชาติเองได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะชื่นชอบรสชาติกาแฟแนวไหน หรือติดใจกลิ่นรสจากกาแฟคั่วระดับใด เก่งฉกาจในเรื่องดริปกาแฟมากน้อยเท่าไร ก่อนจะมาถึงจุดนี้เชื่อว่าสายดริปทุกคนเคยผ่านการใช้กระดาษกรองคู่กับดริปเปอร์มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น
กระดาษกรองกาแฟดริป (Drip coffee filter/Pour-over coffee) ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี เช่น เยื่อกระดาษธรรมชาติ และปลอดภัยไร้สารเคมี เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญของการชงกาแฟในสไตล์นี้มาแต่ดั้งเดิม เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกรองผงหรือกากกาแฟคั่วบดได้เป็นอย่างดี ผลที่ตามมาคือ ช่วยให้กาแฟดริปมีกลิ่นรสตามธรรมชาติมากที่สุด ได้ความรู้สึก “สะอาด” ในรสชาติกาแฟขณะดื่มได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับตัวกรองที่ทำขึ้นจากโลหะ หรือพลาสติก และที่สำคัญสุดๆก็คงจะเป็นในเรื่องที่มีผลดีต่อสุขภาพนั่นเอง
ฟิลเตอร์กรองกาแฟแบบกระดาษซึ่งปกติจะใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งแต่ก็ย่อยสลายง่ายนั้น มีส่วนช่วยกรองผงกาแฟและสกัดกั้น “น้ำมันกาแฟ” ที่เกิดจากการนำสารกาแฟมาคั่วด้วยความร้อนมาจนน้ำมันซึมออกมาเคลือบผิวเมล็ด กรองกระดาษที่ช่วยดูดซับคราบน้ำมันนั้น ทำให้กาแฟมีรสสัมผัสสะอาดเป็นพิเศษ แทบไม่มีกากกาแฟเล็ดลอดมารบกวนอารมณ์ดื่มเลย
ตัวคราบน้ำมันกาแฟ (coffee oil) นี่เองที่ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายที่ “แฝงเร้น” มากับกาแฟที่ดื่มในแต่ละแก้ว และก็มีการพูดถึงกันมากเสียด้วยในวงการแพทย์ แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้หรือมองข้ามไป
ในการชงกาแฟโดยไม่ใช้ตัวกรอง (Unfilter coffee) จะมีสารชนิดหนึ่งที่ทำให้ระดับ “คอเลสเตอรอล” ในเส้นเลือดเพิ่มขึ้น หากว่าสะสมอยู่นานวันเข้าก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่เมื่อมีการใช้ตัวกรองจะช่วยกำจัดสารนี้ออกไป แนวโน้มที่จะเกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก็มีน้อยลง
เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดีว่า ไขมันในกาแฟอย่างพวก คาเฟสตอล และ ไดเทอร์พีน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น การลดระดับของสารเหล่านี้ ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้กระดาษกรองกาแฟ ส่วนตัวกรองที่ทำจากโลหะ, ไนลอน และพลาสติก ไม่สามารถดูดซับสารพวกนี้ออกไปจากแก้วกาแฟของคุณได้เลย
ประโยคข้างต้นนี้ ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นเป็นเครื่องยืนยัน ล่าสุดก็เป็นงานวิจัยของศาสตราจารย์ “แด็ก เอส. เธลเล่” แห่งมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก ในสวีเดน ซึ่งมีผลงานการวิจัยตีพิมพ์ลงใน “วารสารป้องกันโรคหัวใจของยุโรป” (European Journal of Preventive Cardiology) เมื่อเมษายน 2563 มานี้เอง มีข้อสรุปว่า การชงกาแฟแบบมีตัวกรอง ให้ความปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เมื่อเทียบกับการชงรูปแบบต่างๆ
ส่วนตัวผู้เขียนเองเชื่อมาตลอดว่า หากใครไม่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ก็สามารถดื่มกาแฟได้ทั้งสองแนว ทั้งแบบที่มีกระดาษกรองและไม่มี แต่ถ้ามีระดับคอเลสเตอรอลสูงหรือกลัวว่าจะมีในอนาคต ก็ให้เลือกดื่มเฉพาะแบบที่มีกระดาษเป็นตัวกรองเท่านั้น …ไม่ทราบว่าเป็นความคิดที่ผิดหรือถูกประการใด
กระดาษกรองกาแฟนั้นก็มีให้เลือกซื้อเลือกใช้อยู่มากมายหลายหลากประเภท ไม่ว่าจะเป็นในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าออนไลน์ แตกต่างกันขนาด, ลักษณะรูปร่าง, ความหนา/บาง, ความละเอียด/หยาบ, ความเรียบ/ย่น, วัสดุที่นำผลิตเป็นเนื้อกระดาษ และมีทั้งแบบ “ฟอกสี” และ “ไม่ฟอกสี” แน่นอนว่าเราคงจะต้องเลือกดื่มหรือเลือกใช้อะไรๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเรา หรืออย่างน้อยที่สุดไม่นำมาซึ่งผลเสียต่อร่างกาย แต่คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย หากว่าเครื่องดื่มนั้นๆ ดีต่อสุขภาพแล้วก็ให้รสชาติอร่อยไปพร้อมๆ กันด้วย
อย่างที่เรียนให้ทราบแล้วว่ากระดาษกรองกาแฟมีการผลิตขึ้นมาจำหน่ายจากหลายแบรนด์หลากยี่ห้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสความนิยมในกาแฟดริปทั่วโลกที่มีคำนิยามสุดฮิตว่า “..เป็นวิธีชงกาแฟที่เราออกแบบรสชาติเองได้” และ “ทำกาแฟดริปเองได้โดยไม่ต้องง้อบาริสต้า” ส่งผลบริษัทในธุรกิจกาแฟและธุรกิจผลิตอุปกรณ์ครัวเรือนทั้งในเมืองไทยเราและเมืองเทศ ต่างก็หันมาจับตลาดในเซกเมนต์นี้เพื่อรองรับความต้องการของนักดื่มเป็นทิวแถว
แต่เนื่องจากมีสินค้าให้เลือกหลายยี่ห่อนี้เอง ก็เลยยากที่จะตัดสินใจเหมือนกันว่าจะซื้อตัวไหนดี จึงจำเป็นต้องมี”เทคนิค”หรือ”หลัก”ในการเลือกซื้อ เป็นทางเลือกในการพิจารณาตัดสินใจว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เพื่อจะได้กระดาษกรองกาแฟพร้อมคุณสมบัติตามที่เราต้องการ คือทั้งปลอดภัย ช่วยให้กาแฟมีรสชาติดี และอาจพ่วงดีกรีความ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากว่าเราใส่ใจในแง่มุมนี้
กระดาษกรองกาแฟผลิตขึ้นจากเยื่อกระดาษหรือเส้นใยเซลลูโลสที่พบได้ในพืชหลายชนิด มีทั้งชนิดที่ได้จากเนื้อไม้ กับชนิดที่ไม่ใช่เนื้อไม้ เช่น ไม้ไผ่หรือเส้นใยจากต้นกล้วย ปกติจะมีอยู่ 2 สีด้วยกัน ได้แก่ “สีน้ำตาล” กับ “สีขาว” โดยกระดาษกรองสีน้ำตาลคือสีธรรมชาติ ส่วนสีขาวคือกระดาษกรองที่ผ่านการฟอกสี ซึ่งสีของกระดาษกรองกลายเป็นตัวแปรหลักๆ ในการเลือกซื้อไป ตามมาด้วยคุณสมบัติหรือคุณภาพ
ขออนุญาตพูดถึงประวัติความเป็นมาของกระดาษกรองกาแฟกันสักนิด ก่อนจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์เป็นลำดับถัดไป เพราะผู้เขียนนั้นเป็นคอกาแฟดริปตัวยง แเล้วก็ผ่านมาหมดแล้วในกระดาษกรองกาแฟทุกสไตล์
แม้ว่าการค้นพบกาแฟป่าผ่านทางตำนาน “แพะเต้นระบำ” (The Dancing Goats) จะเกิดขึ้นที่เอธิโอเปียตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 9 ทว่าการเพาะปลูกและการค้ากาแฟเชิงพาณิชย์ กำเนิดขึ้นครั้งแรกทางดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย คือ เยเมน ในปัจจุบัน พอถึงศตวรรษที่ 16 เมื่อการดื่มกาแฟแพร่หลายเข้าไปในตุรกี, อียิปต์ และเปอร์เซีย ก็เลยเกิดมีวิธีชงกาแฟ”อย่างเป็นทางการ”ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกขึ้นมา โดยเป็นหม้อต้มที่คิดค้นขึ้นในตุรกีเรียกกันว่า “หม้อไอบริก” (Ibrik) เป็นการต้มกาแฟแบบไม่มีตัวกรองเลย ซึ่งยังคงมีใช้สืบทอดกันมาเป็นวิถีจนถึงปัจจุบัน
ย่างเข้าศตวรรษที่ 17 นั่นแหละกาแฟซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคาบสมุทรอาระเบีย, เปอร์เซีย, แอฟริกาตอนบน และอาณาจักรออตโตมันเติร์กไปแล้ว ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้าสู่ยุโปเป็นครั้งแรก ถึงอิตาลีก่อนใครผ่านทางพ่อค้าและนักเดินทาง แล้วก็เกิดติดอกติดใจในรสชาติขึ้นมา จนเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างเร็ว มีการเปิดร้านกาแฟขึ้นเป็นจำนวนมาก กลายเป็นธุรกิจขึ้นมาที่ต้องจัดหาหม้อใบใหญ่ๆมาต้มกาแฟร้อนๆ รองรับลูกค้าที่เข้ามาตั้งวงสนทนากันในทุกเรื่องราวจนเป็นที่มาของชื่อ “สภากาแฟ” นั่นเอง
วิธีการชงกาแฟก็ไม่มีอะไรมากในยุคนั้น เอากาแฟคั่วบดเทใส่หม้อ เติมน้ำ แล้วเอาไปต้มจนเดือดพล่าน เสร็จสรรพก็ยกมาเสิร์ฟโดยไม่มีตัวกรองกากหรือผงกาแฟแต่อย่างใด เข้าใจว่าน่าจะได้แนวทางมาจากวิธีการชงกาแฟของตุรกี
ต่อมา ได้มีการสร้างตัวกรองขึ้นมา เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องดื่มผงหรือกากกาแฟเข้าไป ซึ่งนักประวัติศาสตร์ด้านอาหารบางคนปักใจเชื่อว่า อุปกรณ์กรองกาแฟชิ้นแรกของโลกก็คือ “ถุงเท้า” นั่นเอง ใช่ครับถุงเท้าที่ทำจากผ้า จากนั้นก็พัฒนามาเป็นถุงผ้า เข้าใจว่าเป็นผ้าลินินเสียเป็นส่วนใหญ่ ความละเอียดของเนื้อผ้าก็คงพอจะช่วยขจัดกากกาแฟออกไปได้บ้าง (เขียนมาถึงตอนนี้..ผู้เขียนอดนึกถึงถุงชงกาแฟโบราณที่ใช้กันทั่วภูมิภาคอาเซียนและบ้านเรา ไม่แน่ใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกันหรือไม่)
ครั้นตกถึงปีค.ศ. 1908 ก็เกิดมีกรองกาแฟแบบที่ใช้กระดาษขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เมื่อแม่บ้านเยอรมันชาวเมืองเดรสเดน ชื่อ “เมลิตตา เบนซ์” (Melitta Bentz) เกิดอยากสกัด “รสขม” ออกจาก “กาแฟต้ม” ที่ดื่มกันมาอย่างยาวนานขึ้นมา แรกเริ่มนั้นเธอใช้ถุงผ้าลินินเป็นตัวกรอง แต่ยังไม่ลงตัว ก็ทดลองไปเรื่อย ชิมไปเรื่อย
สุดท้ายมาจบที่ “กระดาษซับรูปสี่เหลี่ยม” ซึ่งฉีกมาจากสมุดการบ้านของเจ้าลูกชาย
แล้วเธอก็ไม่ได้”ต้มกาแฟ”แล้วกรองกากผ่านกระดาษ แต่ใช้วิธีนำกาแฟบดใส่ในกระดาษแล้วเติมน้ำร้อนลงไป โดยมีกระดาษทำหน้าที่เป็นตัวกรอง …นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา “กาแฟดริป” พร้อมกับ “กระดาษกรองกาแฟ” ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก
นอกจากคิดค้นเป็นผลสำเร็จแล้ว เธอยังเกิดไอเดียนำผลงานไปผลิตเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ก็จัดจ้างคนในครอบครัวนั่นเอง มีสามีและลูกเป็นพนักงานกลุ่มแรกๆ จนกิจการเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นก่อตั้งเป็นบริษัท ตั้งชื่อว่า Melitta Bentz Company มีสินค้าในธุรกิจกาแฟจัดจำหน่ายหลายชนิด ภายใต้แบรนด์ “M. Bentz” พอถึงปีค.ศ. 1930 ก็มีการเปลี่ยนรูปแบบกระดาษกรองกาแฟจากแผ่นสี่เหลี่ยมให้เป็น “ทรงกรวย” แถมคิดค้นถุงผ้ากรองกาแฟในปีค.ศ. 1937
เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แบรนด์ ‘M. Bentz ก็ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นกระดาษกรองกาแฟที่ทำจากเยื่อไผ่ พร้อมโฆษณาว่า “ตอนดริปไม่ส่งผลต่อกลิ่นรสกาแฟ”
นอกเหนือจาก Melitta ซึ่งเป็นเจ้าดั้งเดิมแล้ว ในปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่ผลิตกระดาษกรองกาแฟออกจำหน่าย เช่น Suzuki, Hario, Koonan, Pro Mael, Animo, Brew-Rite, Filtropa, Daiso, Yireen, Tiamo, Bunn และ Timemore ในบ้านเราที่คุ้นตามากๆ ก็เห็นจะเป็นแบรนด์ BonCafe นั่นแหละ
ทั้งนี้ รูปลักษณะของกระดาษกรองแปรผันไปตามรูปทรงดริปเปอร์ชงกาแฟ หลักๆ แบ่งได้เป็น 3 แบบด้วยกัน ทรงกรวย (Cone) , ทรงคางหมู (Trapezoid) และ ทรงกระบอกหรือตระกร้า (Cylindrical/Basket) ขณะที่อีกสไตล์ของกระดาษกรองที่เห็นกันบ่อยๆก็คือ สไตล์ของ Chemex ที่มีกระดาษกรองให้เลือกถึง 3 แบบ คือ แบบสี่เหลี่ยม, วงกลม และครึ่งวงกลม ฟิลเตอร์แบบนี้ทำขึ้นจากกระดาษปอนด์ มีความหนากว่าของกระดาษกรองทั่วไป จึงใช้เวลาในการชงนานกว่า ได้บอดี้กาแฟที่เข้มข้นกว่า
แล้วกระดาษกรองไม่ได้ใช้เฉพาะกาแฟดริปเท่านั้น แต่ยังใช้กับอุปกรณ์ชงกาแฟแนวอื่นๆ ด้วย เช่น หม้อต้มมอคค่าพ็อท, เครื่องไซฟ่อน และแอร์โรเพรส เพียงแต่ต่างรูปทรงกันไปบ้างเท่านั้น
หลายคนตั้งคำถามว่า กระดาษกรองกาแฟดริปสีขาวหรือสีน้ำตาลที่เห็นขายกันตามท้องตลาดแบบไหนดีกว่ากัน ที่จริงแล้วทั้งสองชนิดมีกรรมวิธีการผลิตและส่งผลต่อกลิ่นรสกาแฟแตกต่างกันในเบื้องต้น แต่คำถามนี้ตอบไม่ยากครับ อยู่ที่ว่าเราสนใจในแง่มุมไหนมากกว่ากัน หรือจะสนใจเท่าๆกันก็ได้ ให้ขึ้นอยู่กับรสนิยมในการดำรงชีวิตของแต่ละคนก็แล้วกันครับ
“กระดาษกรองกาแฟสีขาว” หรือ Bleached coffee filter นั้น ผ่านกระบวนการฟอกสี ซึ่งมีทั้งแบบใช้ คลอรีน และแบบใช้ ออกซิเจน จึงทำให้เนื้อกระดาษเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีขาว ข้อดีของกระดาษกรองแบบนี้ คือไม่ส่งผลต่อกลิ่นรสของกาแฟ ส่วนข้อเสีย เป็นย้อมรับว่ากันว่า การฟอกสีก่อให้เกิดสารเคมีที่เมื่อไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ก่อนหน้านี้เคยมีความกังวลว่า กระดาษกรองที่ใช้คลอรีนเป็นตัวฟอกอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า มีความปลอดภัยสำหรับใช้ชงกาแฟ เพราะถ้าไม่ปลอดภัยอาจห้ามใช้ไปแล้ว หรือเป็นไปได้ว่าใช้ในปริมาณน้อยๆ จนไม่มีผลข้างเคียง
มีบางแบรนด์ เช่น Moccamaster, Daiso และ Hario หันไปใช้ออกซิเจนในการฟอกสีเป็นอีกทางเลือก เพระดูมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าคลอรีน แล้วผู้บริโภคจะรู้ได้อย่างไรว่าใช้สารตัวไหนแบบใดในการฟอกขาว ก็ดูได้จากรายละเอียดบนบรรจุภัณฑ์ หากเป็นสินค้าจากแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ก็จะระบุข้อมูลไว้อย่างชัดเจนเลย
ส่วน “กระดาษกรองกาแฟสีน้ำตาล” หรือที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า Unbleached coffee filter เป็นกระดาษกรองที่ไม่ใช้สารฟอกสี เป็นสีน้ำตาลธรรมชาติ ข้อดีคือ ผ่านกระบวนการแปรรูปที่น้อยกว่า ช่วยลดปริมาณการใช้ทรัพยากร ป้องกันสภาพแวดล้อม และปลอดภัยต่อผู้ใช้ ขณะที่ข้อเสียก็ดูเหมือนจะมีหนึ่งเดียว คือในเรื่องการดริปกาแฟที่มีกลิ่นกระดาษติดออกมาด้วย ซึ่งวิธีการแก้ไขก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพียงใช้น้ำร้อนลวกกระดาษกรองให้โชกก่อนเริ่มดริปเท่านั้นเอง
แล้วในแง่ของรสชาติล่ะ แบบสีขาวกับสีน้ำตาลให้รสชาติกาแฟต่างกันหรือไม่ ให้ตายเถอะ…จากประสบการณ์ของผู้เขียนแทบสังเกตไม่ออกในเรื่องความแตกต่างของรสชาติ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระดาษกรองกาแฟสีไหน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน ก็คือ คุณสมบัติที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของกระดาษกรอง เช่น ความเล็กใหญ่ของกระดาษนั้นต้องเข้ากันได้อย่างลงตัวกับดริปเปอร์ที่ใช้อยู่ อีกทั้งความหนาบางก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะความหนาบางมีผลต่อการไหลของน้ำด้วย ถ้าบางไป น้ำกาแฟก็ไหลเร็ว ถ้าหนาไป น้ำก็ไหลช้ามาก ซึ่งล้วนแล้วส่งผลกระทบต่อรสชาติกาแฟดริป
ขณะที่ความละเอียดหรือหยาบของเนื้อกระดาษกรอง และชนิดของเยื่อกระดาษ ก็ส่งผลให้อัตราการไหลของน้ำแตกต่างกันไปด้วย ส่วนลักษณะผิวกระดาษ ถ้าเป็นแบบผิวย่น ก็จะช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับการกรองให้มากขึ้น
เมื่อกลางปีที่แล้ว ผู้ผลิตอุปกรณ์กาแฟดริปของญี่ปุ่น “Cafec” ได้เปิดตัวกระดาษกรองกาแฟรุ่นใหม่ มีชื่อซีรีส์ว่า Cafec Osmotic Flow แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน คือ กระดาษกรองสำหรับกาแฟคั่วอ่อน, คั่วกลางเข้ม และคั่วเข้ม ทั้ง 3 แบบต่างกันที่ความหนาตรงตามคอนเซปท์ที่ว่า ความหนาบางของกระดาษกรองมีผลต่อการหมุนเวียนของน้ำ นำไปสู่รสชาติกาแฟที่ต่างกัน ดังนั้น เพื่อดึงรสชาติออกมาให้ดีที่สุด จึงมีการออกแบบกรองกระดาษที่เหมาะสมในแต่ระดับการคั่ว โดยกระดาษกรองสำหรับกาแฟคั่วอ่อน จะมีความหนา 0.15 มิลลิเมตร, คั่วกลางเข้มหนา 0.28 มิลลิเมตร และคั่วเข้มมีความหนา 0.22 มิลลิเมตร
จะสังเกตเห็นว่า กระดาษกรองกาแฟสำหรับคั่วกลางเข้มจะมีความหนามากกว่าคั่วเข้ม นั่นอาจจะเป็นผลจากการออกแบบเพื่อสร้างความสมดุลให้กับรสชาติตามแบบฉบับของ Cafec ที่ผ่านการทดลองมา
กระดาษกรองกาแฟดริปรุ่นใหม่ของบริษัท Cafec นั้น ทางบริษัทให้ข้อมูลว่าทำขึ้นจากเยื่อกระดาษของไม้ในโครงการปลูกป่า ผสมเข้ากับ เส้นใยอะบาก้า ซึ่งเป็นพืชในตระกูลกล้วยพันธุ์มิวซาจากฟิลิปินส์ (ที่เอามาทำเป็นเชือกป่านมนิลานั่นแหละครับ) ช่วยเพิ่มความสามารถในการไหลผ่านของน้ำได้ดีขึ้น และลดกลิ่นกระดาษด้วย
เรื่องความแข็งแรงทนทานก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปว่ากัน ผู้เขียนสารภาพเลยว่า เคยซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟแล้วได้กระดาษกรองมาเป็นของแถมปึกหนึ่ง โดยใส่ในถุงพลาสติกมา ไม่รู้ว่าเป็นของค่ายสำนักหรือของแบรนด์ใด จึงลองหยิบเอามาดริปกาแฟดู ปรากฎว่า ขณะดริป ก้นกระดาษกรองเกิดผลิแตกออกมา ทำให้กาแฟคั่วบดพร้อมน้ำไหลลงสู่โถแก้วด้านล่างหมดเลย
ลองอีกรอบก็เป็นเช่นเดียวกัน จึงเลิกใช้ไปสำหรับของแถมเช่นนี้ ทั้งๆที่เมื่อใช้กับกระดาษกรองที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าในปริมาณกาแฟเท่าๆกัน สัดส่วนการเทน้ำก็เหมือนกัน กระดาษกรองที่ซื้อมาจากห้างทำงานได้ผลเป็นอย่างดี
เจอกับตัวเองเลย ตอนนั้น..รู้สึกเสียดายกาแฟยิ่งนัก กาแฟไทยคั่วอ่อนจากแหล่งปลูกชั้นนำเสียด้วย เรื่อง “คุณภาพ” และ “ความทนทาน” จึงเป็นสิ่งที่มิอาจมองข้ามไปได้เลยในทุกๆสินค้า
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณเป็นคอกาแฟที่มีรสนิยมในการใช้ชีวิตอย่างไร ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นแรกๆ เลย หรือเรื่องรสชาติต้องมาก่อน หรือสนใจทั้งสองด้านไปพร้อมๆกัน แน่นอนว่าหลักในการเลือกซื้อกระดาษกรองกาแฟก็ต้องมีด้วย แล้วสิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้ก็คือคำว่าคุณภาพ แม้ว่าอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนิด แต่ก็เพื่อความสุขในการดื่มกาแฟแก้วโปรดไปอีกนาน…
facebook : CoffeebyBluehill