สัมภาษณ์: ธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD)
โดย ดร.นงค์นาถ ห่านวิไล
ดร.นงค์นาถ : บริษัท DOD ประกอบธุรกิจอะไรบ้าง
คุณธนิน: บริษัท DOD เป็นบริษัท ODM อาหารเสริมที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ODM แตกต่างจาก OEM ตรงที่ว่าเราเป็นบริษัทที่พัฒนาออกแบบสูตร ทำสูตรอาหารเสริมให้กับลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ จะมีเรื่องการออกสูตร การวิเคราะห์ การดูแพคเกจจิ้ง ไปขึ้นเลขทะเบียน อย. จนพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า เพื่อที่จะไปจำหน่ายต่อ
รูปแบบที่ผลิตอยู่ก็มี แคปซูล ชงดื่ม ตอนนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเป็นเจลลี่ของเหลว ตามตลาดนิยม และก็มีพวกโพรไบโอติก ส่วนมากอาหารเสริมที่ทำจะเกี่ยวกับความสวยงาม และสุขภาพ ภูมิต้านทาน นี่คือธุรกิจหลัก ก็จะเชื่อมโยงกับสมุนไพร หลายผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตก็จะมีสารสกัดสำคัญจากสมุนไพร โดยทางบริษัท มีโรงสกัดของเอง
ตอนนี้เทรนด์การดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรไทย โดยเฉพาะ กัญชง กัญชา และพืชกระท่อม มาแรง ทางบริษัทจึงก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะสกัดสาร CBD จากกัญชง และมีรูปแบบอื่นอีก เช่น ชงละลายน้ำ อันนี้เป็นวัตถุดิบเพื่อที่จะเป็นโปรดักส์ ในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าเติบโตได้อีกมาก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ ที่อนุญาตให้เราสามารถผลิตจากต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ตอนนี้โรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเราก็เป็นบริษัทแรกในเอเชียอาคเนย์ ที่ผลิตสาร CBD Isolate ในเชิงพาณิชย์ เพื่อเตรียมพร้อมออกจำหน่ายให้กับลูกค้า
ดร.นงค์นาถ : แนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร พืชกระท่อม กัญชง กัญชา ในตลาดโลกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
คุณธนิน: ถ้าพูดถึงกัญชง กัญชา ถ้าเราติดตามตลาดของทางสหรัฐอเมริกา เป็นอุตสาหกรรมหมื่นล้านดอลลาร์ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่เติบโตเร็วมาก ปีต่อปีเติบโต20-25% เพราะมีหลายประเทศที่เริ่มเปิดช่องทางให้ตัวนี้สามารถนำมาบริโภคได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเกาหลี ญี่ปุ่นก็เริ่มแล้ว จีนก็ผลิตของเขาเองอยู่แล้วและมีประเทศอื่นเข้ามา เรามองว่า กัญชง กัญชา ตลาดเป็นหลักหมื่นล้านดอลลาร์ แต่ถ้ามองที่เอเชียที่เดียวตั้งเป้าไว้ว่าอุตสาหกรรมของกัญชงกัญชาภายในสองปี น่าจะอยู่ที่สองหมื่นกว่าล้านบาท
ดร.นงค์นาถ : สมุนไพรตัวใดในตอนนี้ที่กำลังมาแรง
คุณธนิน: กัญชง กัญชา เป็นที่นิยมม มีความต้องการมาสักระยะหนึ่งแล้ว พืชกระท่อมก็กำลังมาแรง และอยู่ในพืชที่ถูกกฎหมายแล้ว เรามองทั้งสองตัวนี้เป็นพืชที่มาแรง แต่ต้องยอมรับว่ากัญชงกัญชาปูพรมมาก่อนหน้านี้พอสมควร ซึ่งกัญชง น่าจะทำรายได้ได้ก่อน เพราะโรงงานพร้อมที่จะซื้อช่อดอกมาผลิตเป็นสารสำคัญแล้ว อย.ก็ออกกฎกติกาแล้ว กระทรวงการเกษตรก็มีกฎที่ชัดเจน ของพวกนี้ก็มาซัพพอร์ตให้กัญชง คิดว่ากัญชงน่าจะเหมาะกว่า กระท่อมมีคนสนใจที่จะปลูกแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ต้นกัญชงใช้เวลาแค่ 4 เดือนในการปลูก พืชกระท่อม ใช้เวลา 3-4 ปี ถ้าจะให้ได้สารสกัดคุณสมบัติตามที่เราต้องการ ต้องใช้เวลาพอสมควร
ดร.นงค์นาถ : ถ้ามองในตลาดโลกพืชสมุนไพรไทย ถ้าเทียบกับคู่แข่งเราอยู่ในจุดไหน ได้เปรียบเสียเปรียบอะไรอย่างไรแค่ไหน
คุณธนิน: ถ้าเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ต้องยอมรับว่าเราเพิ่งเปิดอุตสาหกรรมเราต้องเซ็ตอุตสาหกรรมจากต้นน้ำถึงปลายน้ำให้ครบวงจรก่อน จนครบแล้วก็ต้องไปอีก 2-3 รอบก่อนที่จะมีการเรียนรู้เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ถ้าแข่งขันกับอเมริกาเขาก็มีตลาดของเขาเองอยู่แล้วก็น่าจะแข่งขันได้ดีกว่าเรา แต่ว่าเราเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์ที่ถูกกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เราด้อยกว่าเขาเรื่องเวลาตรงนี้ เกษตรกรของเรา อุตสาหกรรมของเราสมบูรณ์ สิ่งที่ส่งออกจากประเทศไทยเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือในตลาดโลก เขายอมรับกันอยู่แล้ว ฐานต้นทุนก็ถูกกว่าหลายประเทศ
ถ้าเปรียบเทียบกับอเมริกาก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อที่จะแข่งขันกับเขาได้ ระยะกลาง คิดว่าแข่งได้ เพราะเราพร้อมกว่า ดังนั้นต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ยังไม่ได้เปิดเลยโอกาสคือ ของเราจะรีบทำให้ตรงนี้เกิดขึ้นเร็วแค่ไหนเราก็ยิ่งนำหน้าเขาไปอันนี้คือ พูดถึงกัญชง กระท่อมก็เช่นกันขอบอกข้อมูลนิดหนึ่งเรื่องตลาดโลก ตอนนี้กระท่อมมีคู่แข่งแค่ 2ประเทศเรื่องการขาย จะมีประเทศไทยกับอินโดนีเซีย ไม่มีประเทศอื่นที่สามารถปลูกกระท่อมได้เลย คู่แข่งน้อยมากเป็นโอกาสของเรา
ในสหรัฐอเมริกาเอง พืชกระท่อมมีจำหน่ายมาประมาณ 5 ปีแล้ว ในปีที่ผ่านมา 2564 ยอดขายของพืชกระท่อม ที่นั่นอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เติบโตปีต่อปีประมาณ20% ถ้ายุโรปเริ่มเปิดตามมาโอกาสก็จะตามมาเพราะเปิดแค่ 2 ประเทศในโลกที่สามารถผลิตได้ อีกมุมมองหนึ่งตอนนี้ที่ทางอินโดนีเซียส่งออกที่ 55,000ตัน/ปี เขาปลูกมาสักระยะแล้ว ตอนนี้ไทยก็เร่งกระบวนการการขอใบอนุญาตต่างๆ อยู่ เพื่อที่จะส่งออก
ดร.นงค์นาถ : อินโดนีเซียส่งออก 55,000ตัน คิดเป็นเม็ดเงินเท่าไหร่
คุณธนิน: ถ้าพูดถึงอเมริกาก็สี่หมื่นล้านบาท แต่สำหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์การเกษตรจากไทย มีชื่อเสียงที่ดี คุณภาพดีในตลาดโลก เราก็ต้องมาวางการตลาดตรงนี้นิ เป็นกลยุทธ์ที่เราต้องมาวางว่า สินค้าจากประเทศไทย คือ ต้นตำรับ สายพันธุ์ดีกว่า อันนี้ต้องไปให้ข้อมูลกับผู้บริโภคด้วย
ดร.นงค์นาถ : ในส่วนของภาคเอกชนที่เดินก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว ต้องการซัพพอร์ตอะไรจากระดับนโยบายรัฐบาลบ้าง
คุณธนิน: ตอนนี้เป็นเรื่องเวลามากกว่า ต้องรอเวลา รัฐบาลก็เปิดช่องทางมาให้แล้ว กฎกติกาของกัญชงก็ออกมาแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ว่าเราจะปลูกได้เร็วแค่ไหน มาสกัดได้เร็วแค่ไหน และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ได้เร็วแค่ไหน ทาง อย.ก็เริ่มอนุมัติสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันจากเมล็ดกัญชง และ CBD ส่วนพืชกระท่อม ก็ต้องคอยกฎกติกาออกมา เชื่อว่าประมาณไตรมาส 2 ปีนี้ ก็ถือว่าเร็วแล้วถ้าเปรียบเทียบกับปลดกฎหมายออกมา ก่อนหน้านั้นถ้าผิดกฎหมายคือ จะไม่มีข้อมูลวิจัยเลย ถ้าทำได้ในระยะเวลาสั้นขนาดนี้ก็ถือว่าทาง อย.เองก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ต้องชื่นชมในส่วนนี้ด้วย ในระหว่างนี้ก็อาจจะต้องปลูกต้นไปก่อนเพราะต้องใช้ระยะเวลาในการปลูกอยู่พอสมควร
ดร.นงค์นาถ : ตอนนี้ DOD มีความต้องการวัตถุดิบมากแค่ไหน อย่างไร
คุณธนิน: เราต้องการช่อดอกมาสกัด CBD ก็นำเมล็ดเข้ามาส่งให้เกษตรกรที่เป็นพาร์ทเนอร์ให้เขาปลูก และขายกลับมาที่ทางเรา แต่อย่างไรก็ตามเราก็เปิดช่องทางให้ใครก็ตามที่ปลูกกัญชงที่ถูกต้องตามเชิงพาณิชย์ ก็สามารถมาติดต่อบริษัทได้เลย จะมีมาตรฐานราคา และมาตรฐานที่เราสามารถคุยต่อว่าจะซื้อในราคาไหน ของพืชกระท่อมก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ต้องเข้าใจกฎที่จะตามมาของ อย.ด้วย ถ้าตอนนี้เข้ามาคุยเราก็สามารถให้พื้นฐานของคุณภาพของผลผลิตช่อดอกที่เราต้องการ
ดร.นงค์นาถ : ส่วนของพืชกระท่อมสิ่งที่โรงงานของบริษัทDODจะนำไปสกัดได้ คือ ต้องอายุกี่ปี เป็นลักษณะไหนอย่างไร
คุณธนิน: สาร3รูปแบบ ถ้ามีใครสนใจที่จะปลูกก็สามารถติดต่อเข้ามาได้อยู่แล้ว สามารถคุยได้ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน เราต้องการแบบไหนบ้าง ส่วนมากต้องการใบแห้งยิ่งแก่ยิ่งดี อายุ 3-4ปี เพราะว่า Mitragynine ที่อยู่ในใบจะเริ่มเข้มข้นและในใบเองมีความเข้มข้นของสารตัวนี้น้อย1-2% ซึ่งถ้าเป็นใบอ่อนความเข้มข้นแทบจะไม่ถึง 1% บางทีเอามาเข้ากระบวนการแล้วค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตาม พืชเศรษฐกิจพวกนี้ ต้องมองที่ความยั่งยืน ไม่ใช่ว่าเข้ามาทำแล้วจะรวยเลย ต้องสร้างไปเรื่อยๆ เหมือนกับอุตสาหกรรม ถ้าเราจะเป็นเจ้าตลาดขายให้ทั้งโลกเราเชื่อว่าโอกาสมี แค่เราต้องมาสร้างกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำปลายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อที่จะแข่งขันเขาได้
ดร.นงค์นาถ : ฝากข้อคิดหรือข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะตอนนี้ที่สมนุไพรไทยเป็นที่สนใจในตลาดโลก และจะทำอย่างไรให้คนไทยได้ประโยชน์
คุณธนิน: สมุนไพรไทยในตลาดโลก เราเชื่อว่าไปได้อยู่แล้วเพราะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง หลังจากที่สถานการณ์โควิดเกิดขึ้นทุกคนหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้นทั้งโลก โดยเฉพาะยาที่สกัดจากสารธรรมชาติ อันนี้ก็เป็นโอกาสของไทยเรา แต่ก่อนที่จะลงทุนก็อยากให้คำนึงถึงต้นทุนในการปลูก ให้คิดและวางแผนอย่างละเอียด ว่าเวลาปลูกต้นทุนควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ ราคาตลาด เป็นอย่างไร ต้องคาดการณ์ตรงนี้ไว้ก่อน อาจจะไม่ต้องเริ่มในปริมาณที่เยอะมาก เรียนรู้ก่อนเพราะเป็นพืชตัวใหม่ และมาตรฐานการปลูก ต้องเป็นอินทรีย์ (organic) เรื่องพวกนี้ก็สำคัญ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อกับบริษัทได้เลย