กาแฟที่เห็นขายกันทั่วโลกรวมทั้งในบ้านเราขณะนี้ ต่างไปจากอดีตที่คุ้นเคยกันค่อนข้างมาก เมื่อก่อนมีแต่กาแฟเกรดคอมเมอร์เชียลหรือกาแฟที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ เดี๋ยวมีพัฒนาไปเป็นหลายเกรด, หลายระดับ และหลายรูปแบบ หลักๆจะแบ่งออกเป็นคอมเมอร์เชียล, พรีเมียม และสเปเชียลตี้ แยกตามคุณภาพการผลิตและรสชาติกาแฟ ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ต่างไปจากเครื่องดื่มอื่นๆทั่วไป อย่างน้ำผลไม้และนม พอเอาเรื่องคุณภาพในการผลิตและคุณภาพของวัตถุดิบเข้ามาจับ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการผลิต แน่นอนว่า โดยหลักการคุณภาพรสชาติและความสะอาดปล่อดภัย ย่อมจะต้องดีขึ้นตามไปด้วย
ผู้เขียนจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเมื่อเห็นข่าวว่าราคากาแฟแก้วละ 300 บาท หรือ 900 บาทบ้าง แต่ให้สนใจมากกว่าในเรื่อง “คุณภาพกาแฟ” ดื่มแล้วคุ้มค่าราคาที่จ่ายไปหรือไม่ แล้วที่มาที่ไปของเมล็ดกาแฟที่เอามาชงนั้นมาจากไหน สายพันธุ์อะไร ประเทศไหน ไร่ใดปลูก พื้นที่ปลูกสูงจากระดับน้ำทะเลเท่าไหร่ โปรเซสมาแบบใด ร้านใครคั่ว กลิ่นรสเป็นเช่นไหร่ ขอถามเยอะหน่อยนะ เพราะค่าตัวสูงนี่นา แล้วถ้าราคากับคุณภาพไม่สมเหตุสมผลกันหรือวิ่งสวนทางกัน คำเดียวสั้นๆ ขอโบกมือลา ไม่แวะมาอีกต่อไป
เหตุที่บอกว่าไม่ตกใจ ก็เพราะปกติร้านกาแฟชั้นนำที่ขาย “กาแฟพิเศษ” (specialty coffee)ในบ้านเรา ล้วนสั่งกาแฟนอกสายพันธุ์ดังๆ มาคั่วจำหน่ายขายเป็นแก้วด้วยกันทั้งสิ้น เช่น สายพันธุ์ “ปานามา เกอิชา” ที่ติดอันดับสูงๆ จากการประกวดเวทีโลก ราคาแก้วละพันต้นๆ หรือเกินพันบาท ก็มีให้เห็นกันจนเป็นเรื่องสามัญธรรมดาของวงการกาแฟพิเศษบ้านเราไปแล้ว หรือกาแฟไทยคุณภาพสูงตามแบบกาแฟพิเศษ ราคาตามร้านก็ตกแก้วละเป็นร้อยบาททั้งนั้น แต่ถ้าใครไม่เคยเห็นหรือรับรู้มาก่อน พอเห็นตัวเลขราคาหลักร้อยหรือหลักเฉียดพันเข้าก็อาจทำเอาตกใจได้เหมือนกัน แล้วพลันตั้งคำถามว่า ทำไมราคาสูงจัง? ไม่เคยเจอมาก่อนเลย?
รุ่นพี่ของผู้เขียนก็ตั้งถามเอาแบบนี้เหมือนกัน ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ผู้เขียนในฐานะคอกาแฟที่ปกติดื่มกาแฟแก้วละหลักสิบ หลักร้อยก็เคยซื้อดื่มแต่ไม่บ่อยนักเพราะติดเงื่อนไขเรื่องทุนทรัพย์ในกระเป๋า ส่วนหลักพันที่เคยดื่มก็เป็นกาแฟต่างประเทศแทบทั้งนั้น มีร้านกาแฟหลายแห่งเชิญให้ไปดื่มหรือส่งมาให้ลองชิม มีทั้งจากเอธิโอเปีย, เยเมน, แทนซาเนีย, โคลอมเบีย, คอสตาริกา, กัวเตมาลา, ปานามา, จาไมกา และนิคารากัว เป็นต้น บอกตามตรงเลยว่า คุณภาพ “กลิ่นรส” ของกาแฟพิเศษจัดว่าดีกว่า “กาแฟเกรดคอมเมอร์เชียล” (commercial coffee) อย่างชัดเจน
ทุกวันนี้กาแฟคั่วบดที่ผู้เขียนดื่มอยู่นั้น ก็เป็นสายพันธุ์อาราบิก้าจากไร่ทางภาคเหนือไทยเรานี่แหละ ไม่ใช่เกรดสเปเชียลตี้แต่ประการใด ราคาก็แค่หลัก 60-70 บาทต่อแก้วเท่านั้น แต่สัมผัสได้ว่ามีคุณภาพของกลิ่นรสสูงกว่ากาแฟคอมเมอร์เชียล น่าจะมาจากกระบวนการผลิตและการแปรรูปที่มีคุณภาพดีทีเดียว ไม่แน่ใจว่าเป็นกาแฟเกรดไหนเหมือนกัน สอบถามไปยังผู้รู้ ได้ความว่า จัดอยู่ในเกรดพรีเมี่ยม หรือ พรี-สเปเชียลตี้ (premium / pre-specialty)
แบบว่ายังคาใจไม่หาย รุ่นพี่คนนั้นถามต่ออย่างไม่ยอมหยุดยั้งว่า แล้วกระบวนการผลิตหรือเมล็ดกาแฟที่ใช้ดื่มกันในตลาดคอมเมอร์เชียลกับสเปเชียลตี้ ต่างกันมากมายนักหรือ จึงทำให้ราคาขายต่างกันขนาดนั้น ?
ผู้เขียนศึกษาตำรับตำรากาแฟพิเศษมาพอสมควร แม้ไม่ใช่กูรู แต่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง จึงตอบกลับไปตามความเข้าใจส่วนตัวว่า เพราะความแตกต่างในปัจจัยหลายๆด้าน รวมไปถึงขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำของกาแฟพิเศษที่เน้นดูแลเอาใจใส่และพิถีพิถัน เพื่อนำไปสู่คำว่า “คุณภาพ” ของรสชาติกาแฟนี่เอง ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของกาแฟพิเศษเพิ่มขึ้นมาก ราคาจึงสูงกว่ากาแฟในเซกเมนต์อื่นๆโดยอัตโนมัติ
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า กาแฟพิเศษ หรือ speciality coffee คือกาแฟประเภทไหนกัน
หลังจากมนุษย์ได้เรียนรู้และพัฒนาปัจจัยการผลิตกาแฟมากขึ้นในทุกแง่มุม ตั้งแต่การปลูก, เก็บเกี่ยว, แปรรูป, คั่ว และชง ไปจนถึงการดื่ม กาแฟในฐานะเครื่องดื่มยอดนิยมของชนชาวโลกก็เริ่มมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จากการผลิตกาแฟคราวละมากๆ มาเน้นผลิตครั้งละน้อยๆเพื่อสามารถควบคุมภาพได้ดีขึ้น และจากการดื่มเพราะความเคยชิน ก็เข้าสู่การดื่มเพราะสุนทรียภาพ
กาแฟพิเศษ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกๆในช่วงทศวรรษ 1980 ก่อนเริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทยเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เป็นกาแฟที่เน้นกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้กาแฟออกมาดีที่สุดในแง่ของ “คุณภาพ” และ “รสชาติ” ถ้าเปรียบเทียบกับไวน์ก็คงหมายถึงไวน์ชั้นดีราคาแพง กระบวนการผลิตดังกล่าวต้องผ่านการควบคุมและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตั้งแต่ปลูกไปจนถึงแปรรูป ,คั่ว และชงดื่ม ได้รับการรับรองคุณภาพจากนักชิมที่มีความเชี่ยวชาญ (Cupper/Q Grader) ที่สำคัญต้องได้คะแนนคัปปิ้ง สกอร์ (cupping score) เกิน 80 ขึ้นไป ดังนั้น ต่อให้เป็นกาแฟจากไร่ดังๆระดับโลกซึ่งมีราคาสูง แต่ถ้าได้คะแนนต่ำกว่า 80 คะแนน ก็ถือว่ายังไม่เป็นกาแฟพิเศษแต่ประการใด
ต้นกำเนิดของกาแฟพิเศษเกิดในสหรัฐอเมริกาที่ผู้คนนิยมดื่มกาแฟกันมาก และเมื่อความต้องการบริโภคกาแฟสูงขึ้นทุกวี่วัน จึงมีกาแฟคุณภาพต่ำออกมาล้นตลาด นักชิมกาแฟเริ่มทนไม่ไหวกัน รวมตัวกันก่อตั้งเป็น “สมาคมกาแฟพิเศษสหรัฐ” (SCAA) เพื่อส่งเสริมและพัฒนากาแฟทั้งระบบ โดยเฉพาะการผลิตเมล็ดกาแฟที่ดีขึ้น พร้อมมีการประเมินคุณภาพเมล็ดกาแฟ ในประเทศไทยเองก็มีสมาคมกาแฟพิเศษไทย (SCATH) เช่นกัน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 2013
“คัปปิ้ง สกอร์” ที่พูดถึงในประโยคข้างต้น คือ การชิมทดสอบรสชาติกาแฟ เป็นเกณฑ์ที่ใช้ประเมินคุณภาพกาแฟพิเศษ กำหนดขึ้นโดยสมาคมกาแฟพิเศษนั่นเอง ประกอบเกณฑ์กติกาด้วยกัน 10 ข้อ เช่น กลิ่นหอม, รสชาติ ,ความเข้มข้น ,ความสมดุล ,ความสะอาด, ความหวาน, ความเป็นกรดผลไม้ เป็นต้น มีคะแนนโดยรวมอยู่ทั้งหมด 100 คะแนน ซึ่งกาแฟชนิดไหนที่ได้ 80 คะแนนขึ้นไป ก็จะถูกเรียกว่าหรือกาแฟพิเศษนั่นเอง
นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า “Alliance of Coffee Excellence” (ACE) ทำหน้าที่ประเมินคุณภาพเมล็ดกาแฟพิเศษเช่นกัน มีการจัดประกวดเป็นประจำทุกปี แต่หลักเกณฑ์ในการประเมินแตกต่างจากของสมาคมกาแฟพิเศษสหรัฐไปบ้าง กาแฟประกวดจาก ACE กว่าจะได้อันดับ (rank) นั้นต้องผ่านการคัดเลือกตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำตามเกณฑ์กติกาเช่นกัน จากนั้นจะต้องผ่านการคัปปิ้งจากผู้เชี่ยวชาญหลายครั้ง และได้คะแนนสูงตั้งแต่ 87 ขึ้นไป จึงจะได้การรับรองว่าเป็นกาแฟ COE
จะดื่มกาแฟสักแก้วทำไมต้องมีรายละเอียดเยอะและทำกันยุ่งยากขนาดนี้… ก็เพื่ออัพเกรดรสชาติของกาแฟจากธรรมดาให้เป็นพิเศษมากๆ ตามเป้าประสงค์ของกลุ่มคนรักการดื่มกาแฟที่ต้องการยกระดับทั้งคุณภาพการผลิตและรสชาติ รวมทั้งสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ดื่ม ซึ่งตามความเข้าใจของผู้เขียนนั้น น่าจะได้แบบอย่างมาจากการผลิตไวน์ที่มีระบบการประเมินคุณค่าไวน์แต่ละขวดแต่ละไร่ในแบบให้คะแนนเช่นกัน
แล้ว “กาแฟคอมเมอร์เชียล” หรือกาแฟเชิงพาณิชย์ล่ะ …กาแฟในเซกเมนต์นี้ทำกันมานานแล้ว มีการผลิต, เก็บเกี่ยว,คั่ว และขายเป็นล็อตใหญ่ ๆ (mass production) ในแบบอุตสาหกรรม เพื่อเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิต ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจกาแฟที่ผลิตโดยผู้ประกอบการระดับบิ๊กเนมที่ตอนหลังหันมาเปิดตลาดกาแฟพิเศษควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน ว่ากันว่า การผลิตกาแฟแบบคอมเมอร์เชียลนี้ เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันมากที่สุดในโลก ปกติจะผลิตขายเป็นกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟคั่วบดในเกรดคอมเมอร์เชียล
เพราะเป็นการผลิตกาแฟครั้งละมากๆ ดังนั้น การทำกาแฟคอมเมอร์เชียลจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในแง่การดูแลเอาใจใส่ ,คุณภาพ และรสชาติ มากเท่ากับกาแฟพิเศษ การซื้อเมล็ดกาแฟก็อยู่ในรูปแบบราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อันที่จริงแล้ว ผู้เขียนเองก็ดื่มกาแฟทั้งกาแฟอินสแตนท์และกาแฟคั่วบดมาตั้งแต่ 20-30 ปีก่อนแล้ว เพิ่งมีโอกาสดื่มกาแฟพิเศษเป็นครั้งแรกก็สัก 10 ปีหลังมานี้เอง ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นกาแฟนำเข้าของแบรนด์สตาร์บัคส์
คราวนี้ลองมาดูความแตกต่างของกระบวนการผลิตกาแฟระหว่างคอมเมอร์เชียลกับสเปเชียลตี้ ขอแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้
1.แหล่งกำเนิดกาแฟ
แหล่งปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียงของโลกล้วนตั้งอยู่ในโซนที่เรียกกันว่า “coffee belt” เป็นพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ครอบคลุม 3 ทวีป เอเชีย ,แอฟริกา และละตินอเมริกา มีสภาพภูมิประเทศ เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นกาแฟ โดยเฉพาะสายพันธุ์อาราบิก้า ปัจจยต่างๆ เช่น อากาศ, แร่ธาตุ,ดิน ,น้ำ ,ระดับความสูงจากน้ำทะเล,ปริมาณฝน ล้วนแต่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟทั้งสิ้น
กาแฟพิเศษนิยมทำเป็นแบบ “ซิงเกิ้ล ออริจิ” (single origin) คือ เมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวกันที่มาจากแหล่งเพาะปลูกเดียว คัดเลือกเฉพาะผลกาแฟสุกและสมบูรณ์ เมื่อก่อนกาแฟซิงเกิ้ล ออริจิน มีชื่อเสียงอยู่ในทวีปแอฟริกา และละตินอเมริกา แต่ปัจจุบันประเทศไทยก็มีกาแฟแนวนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปี ตรงกันข้าม กาแฟคอมเมอร์เชียลมักถูกซื้อจากหลายแห่งมาแปรรูปเป็นล็อตใหญ่ๆ เพื่อลดต้นทุน ส่วนใหญ่ปะปนกันมาหลายสายพันธุ์ มีทั้งผลกาแฟสุกและยังไม่สุกดี
2.สายพันธุ์กาแฟ
กาแฟที่นิยมดื่มกันทั่วโลกมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ “อาราบิก้า” กับ “โรบัสต้า” กาแฟอาราบิก้านั้นมีชื่อเสียงเรื่องความหอมและรสชาติที่นุ่มนวลกว่าโรบัสต้า จึงมีราคาสูงกว่า แต่ต้องมีสภาพการปลูกที่เหมาะสมมากๆ จึงจะให้ผลผลิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนสายพันธุ์โรบัสต้า ปลูกง่าย ,โตเร็ว, สามารถให้ผลผลิตในพื้นที่ไม่สูงนัก และมีความทนทานต่อโรคพืช แต่ด้วยความที่รสชาติถูกพิจารณาว่าด้อยกว่า ในอดีตจึงมักถูกนำมาผสมเข้ากับกาแฟอาราบิก้า เพื่อขายเป็นกาแฟเชิงพาณิชย์
ส่วนกาแฟอาราบิก้าถูกนำไปทำเป็นกาแฟพิเศษ สายพันธุ์ดังๆก็ได้แก่ ปานามา เกอิชา,เอธิโอเปีย เยอร์กาเชฟฟ์ , จาไมก้า บลูเม้าเท่นส์ และฯลฯ
3.ต้นทุนการผลิต
จุดที่สร้างความแตกต่างกันชัดเจนที่้สุดระหว่างกาแฟเชิงพาณิชย์และกาแฟชนิดพิเศษ ก็คือ “ราคา” เนื่องจากรูปแบบการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปของกาแฟพิเศษที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก นำไปสู่ต้นทุนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และความที่กาแฟอาราบิก้าต้องดูแลเอาใจมากหน่อย จึงจะให้ผลผลิตออกมาดี ยิ่งทำให้ราคาสูงขึ้นอีกเข้าไปอีก
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้กาแฟชนิดพิเศษมีราคาสูงขึ้น ก็เนื่องจากความเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนการแปรรูป ตั้งแต่การคั่วไปจนถึงการบรรจุหีบห่อ ทุกขั้นตอนจบลงในจำนวนกาแฟที่ไม่มากนัก ทำให้การควบคุมคุณภาพไม่ยุ่งยากมาก มีผู้รู้บางคนบอกว่า ยิ่งใช้แรงงานมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ราคากาแฟก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ประโยชน์ของแรงงานมนุษย์ คือความโปร่งใสในทุกขั้นตอน และคุณภาพสูงของผลผลิตขั้นสุดท้ายที่เครื่องจักรไม่สามารถตอบโจทย์ได้ เช่น การคัดเลือกผลกาแฟสุกสีแดงเฉพาะที่สมบูรณ์ และการคัดทิ้งสารกาแฟที่มีตำหนิ (defect) ซึ่งทั้ง 2 เคสนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของรสชาติ
4.การเก็บเกี่ยวผลเชอรี่กาแฟ
การควบคุมคุณภาพการผลิตกาแฟทั้งระบบ เริ่มนับหนึ่งในไร่กาแฟกับแรงงานมนุษย์ที่เดินไปทั่วไร่แล้วใช้มือปลิดผลเชอรี่กาแฟที่สุกและสมบูรณ์ทีละต้น วิธีนี้เรียกกันว่า hand-picked coffee
ในอดีตที่ผ่านมา การเก็บเกี่ยวผลกาแฟนิยมทำกันแบบปูพรม คือเก็บหมดทั้งผลสีเขียว,ผลสีเหลืองใกล้สุด,ผลสีแดงที่สุกแล้ว และผลที่เกินสุกไปแล้ว เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เนื่องจากเป็นกาแฟที่ถูกผลิตขายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่าที่จะเป็นสินค้าชั้นดีมีความหรูหราเช่นเดียวกับไวน์ ถ้าเป็นไปตามโมเดลแบบนี้แล้ว การผลิตสินค้ายิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ผู้ผลิตกาแฟคอมเมอร์เชียลจึงใช้เครื่องจักรดำเนินการเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อความรวดเร็วและลดต้นทุนไปในตัวด้วย
แต่ปัจจุบัน ทฤษฎีการผลิตกาแฟได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนเก็บผลกาแฟในไร่กาแฟพิเศษจะต้องถูกฝึกอบรมให้มีทักษะและรู้ลักษณะผลกาแฟ ก่อนออกไปเก็บผลเชอรี่แดงสุก และจะเก็บแต่ผลสุกที่ดีเท่านั้น ส่วนที่มีตำหนิคัดทิ้งไป เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากผลสุกกาแฟที่ไม่ได้คุณภาพ จะก่อให้เกิดรสเปรี้ยวหรือขมในแก้วกาแฟขึ้นได้
5.โปรไฟล์การคั่ว
การคั่วกาแฟ คือ การนำ “สารกาแฟ” หรือที่เรียกกันว่า green bean เข้าสู่กระบวนการผ่านความร้อนในอุณหภูมิต่างๆ ของเครื่องคั่วกาแฟ เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไม่แพ้การแปรรูป เพราะทุกระดับการคั่วกาแฟมีผลต่อรสชาติความเปรี้ยว ,ความหวาน และความขม รวมไปถึงกลิ่นกาแฟ ซึ่งเป็นรายละเอียดขั้นสูงการคั่วกาแฟที่ทำให้ได้โปรไฟล์กาแฟตามที่ออกแบบไว้ ดังนั้น รสชาติกาแฟจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ก็อยู่ที่ฝีมือของ “มือคั่วระดับอาชีพ” (roaster) เพราะเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาและควบคุมคุณลักษณะของรสชาติ และกลิ่นของกาแฟ
ระดับการคั่วหลักๆ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือคั่วอ่อน,คั่วกลาง และคั่วเข้ม ระยะหลังมีเพิ่มคั่วกลางค่อนเข้มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ตลาดกาแฟคอมเมอร์เชียลนิยมทำเป็นกาแฟคั่วเข้มแทบทั้งหมด ซึ่งให้รสหวานปนขมคล้ายดาร์กช็อคโกแลต บอดี้เข้มข้น ตามมาด้วยกลิ่นหอมไหม้ของกาแฟคั่ว อันเป็นกลิ่นรสที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน ส่วนกาแฟคั่วอ่อนและคั่วกลาง ถือเป็นจุดขายระดับ “ซิกเนเจอร์” ของกาแฟพิเศษ นิยมกลิ่นรสซับซ้อนแบบดอกไม้หอมและผลไม้ต่างๆ ส่วนกาแฟเกรดพรีเมี่ยมที่เป็นขาประจำของผู้เขียน ก็คั่วจำหน่ายกันทั้ง 4 ระดับการคั่วเลย
ตัวเลขในปี 2563 ระบุว่า ตลาดกาแฟของไทยมีมูลค่า 42,537 ล้านบาท แบ่งเป็นเซกเมนต์กาแฟสดหรือกาแฟคั่วบด 4,119 ล้านบาท มีสัดส่วน 9.7 % อัตราขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5.8 % เซกเมนต์กาแฟสำเร็จรูป 38,418 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงถึง 90.3% ขยายตัวเฉลี่ย 3.8 % ต่อปี จะเห็นได้ว่าตลาดกาแฟคั่วบดแม้มีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่ากาแฟสำเร็จรูป แต่กลับมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่สูงกว่า ซึ่งกาแฟพิเศษเองก็เป็นส่วนหนึ่งในเซกเมนต์กาแฟคั่วบด
ในเมืองไทย มีกาแฟหลากหลายระดับให้เลือกดื่มตั้งแต่ระดับตลาดไปจนถึงแบบพิเศษ รูปแบบก็มีทั้งกาแฟผงสำเร็จรูปและกาแฟคั่วบด กาแฟในปัจจุบันแตกต่างไปจากอดีตที่เคยรับรู้มากมายนัก วิธีการผลิตและการแปรรูปก็แตกต่างกันไป โชคดีที่บ้านเรามีกาแฟให้เลือกดื่มเองได้ในหลากหลายระดับตามรสนิยมและกำลังทุนทรัพย์ ทั้งกาแฟเทศและกาแฟไทย.
… ขอให้มีความสุขทุกวันกับการดื่มด่ำรสชาติกาแฟแต่ละแก้วที่ชื่นชอบกันครับ
facebook : CoffeebyBluehill