กสิกรไทยจัดงาน “THE WISDOM Wealth Decoded Exclusive Dinner Talk” เชิญนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทย มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองและแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนไม่แน่นอนทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก อีกทั้งตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งไม่บวกขึ้นอย่างที่คาด ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ทิศทางการลงทุนจะมีแนวโน้มหรือโอกาสรวมทั้งความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างไร รวมถึงวิเคราะห์มุมมองด้านการลงทุนและเกาะติดสถานการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าวิสดอมนำไปปรับใช้ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ในลักษณะ K-Shaped กล่าวคือ แต่ละอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร สปา เนื่องจากคนไทยมี Service mind เป็นจุดแข็งในการแข่งขัน ธุรกิจเครื่องสำอาง จัดเป็นกลุ่มที่อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนทั่วโลกรู้จัก เข้าถึง และซื้อได้ง่าย
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากสถิติในอดีตจะพบว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนหลังการเลือกตั้ง โดยตลาดยังคงจับตาดูการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายของรัฐบาลใหม่มองในระยะสั้น ปัจจัยทางการเมืองส่งกระทบต่อ Sentiment ของตลาดหุ้นไทย หรือหุ้นบางตัว จากนโยบายทลายการผูกขาดและเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
อย่างไรก็ตามการจะทำนโยบายลักษณะนี้ให้สำเร็จต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะค่อยๆ คลายความกังวลเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเป็นขาขึ้นในช่วงหลังเลือกตั้ง และมีโอกาสเป็น S-Curve ใหม่จากแรงซื้อของต่างประเทศ คือ อสังหาริมทรัพย์แนวสูงและนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากนักลงทุนจีนมีแผนย้ายถิ่น และโยกฐานการผลิตมาเมืองไทยมากขึ้น คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจีนเบอร์ต้นๆ ราว 6-7 ราย เล็งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา หลังเห็นกำลังซื้อที่ดีของตลาด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอยู่ที่ประมาณ 9,000 คันในปี 2565 ส่วนปี 2566 ผ่านมาไม่กี่เดือนมียอดขายแซงเป็น 20,000-30,000 คัน
ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยทุกอุตสาหกรรมประมาณ 70-80% มองว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้ว กลุ่มที่ยังเติบโตได้คือ กลุ่มอุปกรณ์ไอที ตามเทรนด์โลกที่มุ่งหน้าไปยังดิจิทัลมากขึ้น แต่หุ้นตัวที่มีโอกาสขึ้นหลายๆ เท่าในเมืองไทย มักจะเกิดจากผู้เล่นบางรายที่เก่งกว่าตลาด ก่อนการลงทุนจึงควรศึกษา หาโอกาสที่ตลาดมองไม่เห็น และทันกับความเปลี่ยนไปของโลก เช่น ธุรกิจที่เข้าสู่ตลาดด้วยบิสซิเนสโมเดลใหม่ๆ หรือเรื่องใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น คาร์บอนเครดิต เป็นต้น
หากเจาะลึกลงมาในรายบริษัทที่น่าลงทุน นักลงทุน VI จะเน้นหาข้อมูลอินไซด์เกี่ยวกับความสามารถทางการแข่งขันเพื่อเลือกลงทุนในบริษัทที่ใช่ เช่น เส้นสายทางธุรกิจหรือสัมปทานที่สร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทนั้นๆ รวมทั้งชื่อเสียงของบริษัทหรือแบรนด์ ตลอดจนความใหญ่ของบริษัท เช่น โรงงานขนาดใหญ่ จำนวนสาขามาก ซึ่งเป็นแต้มต่อทำให้ควบคุมต้นทุนและสามารถแข่งขันทำกำไรได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ หากไม่มีเวลาหาอินไซด์เพื่อตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง แนะนำให้ลงทุนผ่านเครื่องมือการลงทุนต่างๆ เช่น ซื้อกองทุน Index หรือซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร กองทุนรวม ทองคำ ฯลฯ โดยเลือกจังหวะในการเข้าซื้อที่ใช่ และเน้นกระจายความเสี่ยง
สำหรับภาพการลงทุนในระยะยาวของตลาดหุ้นจีนเปรียบเหมือนตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น
- จีนมี Billionaire เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 2 คน ถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก วันนี้จำนวนอภิมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ในจีนมี 1,200 คน แซงหน้าอเมริกาที่มีประมาณ 700 คนไปเกือบเท่าตัว
- จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 6 ล้านคน ต่อปี
- มีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คือ เริ่มงาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 3 ทุ่ม ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน
- จีนมีแผนเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางจาก 300-400 ล้านคน เป็น 700-800 ล้านคน
- จีนมีการปรับหลักสูตรการเรียนใหม่แบบ 553 คือ ประถมศึกษา 5 ปี มัธยมศึกษา 5 ปี และอุดมศึกษา 3 ปี
องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ ล้วนหนุนส่งเศรษฐกิจจีนให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะไปอยู่ในจุดที่อเมริกายืนอยู่ในอีกสิบปีข้างหน้า แต่ในการเข้าลงทุนสำหรับตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากประเทศจีนเวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลึกกว่าที่คิด โดยไม่เกี่ยวข้องกับภาพรวมดัชนีใดๆ ทั้งสิ้น จึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว เช่น มีความเป็นแพลตฟอร์ม ปรับตัวสู่ดิจิทัลได้ง่าย ที่สำคัญธุรกิจดังกล่าวต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย่อมจะมีโอกาสชนะในการลงทุน
ขณะที่ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีฟื้นตัวดีขึ้นจากการนำพาตลาดของ Big Tech อย่าง Meta, NVIDIA, Microsoft, Tesla, Google ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัดปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย แต่คาดว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่สามารถควบคุมได้ นัลงทุนรายใหญ่ต่างมองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 แล้ว อเมริกาจึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรม