เกาะติดหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นแรงในครึ่งปีแรกอาจเจอแรงเทขายและเข้าสู่รอบการปรับฐาน หากผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ที่จะประกาศในเดือนนี้ออกมาต่ำกว่าคาด นักลงทุนรุ่นใหม่มองฟันด์โฟลว์จะเปลี่ยนทิศทางสู่สินทรัพย์ทางเลือกที่มีมูลค่าต่ำกว่าแทน ทั้งหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ กลุ่ม Disruptive Technology – ตลาดหุ้นเวียดนาม – สินทรัพย์ดิจิทัล Bitcoin โดยมีแรงหนุนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเข้าสู่แนวโน้มผ่อนคลายตั้งแต่ไตรมาสสี่ปีนี้เป็นต้นไป
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/2566 นี้ อาจจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ กลุ่มเทคโนโลยีใหม่ Disruptive Technology รวมถึงตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่อย่างเวียดนาม และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin เนื่องจากสินทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีที่สุดในครึ่งแรกของปีนี้ คือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Meta, Amazon, Tesla และน้องใหม่อย่าง Nvidia ที่ดันให้ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นได้กว่า 30% อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดแรงเทขายและเข้าสู่รอบการพักฐานได้ หากผลประกอบการรอบไตรมาส 2/2566 ซึ่งจะเริ่มต้นประกาศผลในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“ตอนนี้ดัชนี NASDAQ ซื้อขายในมูลค่าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 3 เท่า ถือว่า Bullish ค่อนข้างมาก แต่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะถูกเทขาย ถ้าหากผลประกอบการที่ออกมาไม่เป็นตามที่ตลาดคาดหวังไว้ ใครที่ลงทุนไว้จะต้องจับตาการประกาศงบการเงินที่กำลังจะประกาศออกมาเป็นอย่างดี”
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่ต้องจับตาดูในไตรมาสที่สามนี้ คือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ที่ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้ง และจะยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ตลาดมีความคาดหวังว่า FED อาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกแค่ครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI Index ของเดือนมิถุนายน ในวันพุธที่ 11 กรกฎาคมนี้ ออกมาต่ำกว่าคาด โดยตลาดคาดว่า CPI Index จะอยู่ที่ระดับ 3.1% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 4% หากออกมาในระดับดังกล่าวจริงน่าจะส่งผลบวกต่อตลาด เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ที่ FED ตั้งไว้ และอาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงครั้งเดียวจากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้สองครั้ง
“ต่อให้ FED ขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งตามที่ประกาศ แต่ก็ใกล้จะถึงจุดที่นโยบายการเงินตึงตัวในระดับสูงสุดแล้ว ทำให้ไตรมาสสี่ปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้าจะเริ่มเข้าสู่ทิศทางขาลงของนโยบายการเงิน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์การลงทุนทางเลือก ที่จะได้ประโยชน์จากกระแสฟันด์โฟลว์ที่เปลี่ยนตัวเล่น โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ยังปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก”
กลุ่มแรก คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ กลุ่มเทคโนโลยีใหม่ Disruptive Technology ซึ่งปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด ได้แก่ หุ้นที่อยู่ในลิสต์ของกองทุนเปิดที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ ETF ชื่อดังอย่าง ARK Invest มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่รอบของการฟื้นตัว เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้จะปรับตัวขึ้นตามกระแสของฟันด์โฟลว์ และอาจจะอาศัยโอกาสที่เม็ดเงินไหลออกจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เต็มมูลค่าในระยะสั้น มายังหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังมีมูลค่าต่ำกว่าแทน ประกอบกับผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้จะเริ่มสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น หลังจากสิ้นสุดช่วงที่ได้ประโยชน์เต็มที่จากการแพร่ระบาดของโควิด
ด้านตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับขึ้นมา จากการที่รัฐบาลมีการอัดฉีดนโยบายทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยและลดภาษี ที่สำคัญ คือ Vietnam Index ตอนนี้ซื้อขายที่ค่า P/E เพียง 10 เท่า ซึ่งถือว่าถูกกว่ามูลค่าในอดีตค่อนข้างมาก เป็นโอกาสที่จะเข้าทยอยสะสมได้ผ่านกองทุน ETF
อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าจับตา คือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ที่มีข่าวเรื่องของบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ที่ยื่นจัดตั้ง Bitcoin ETF กับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ทำให้ราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นยืนเหนือระดับ 30,000 ดอลลาร์ ได้อย่างต่อเนื่อง และยังทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบริษัทด้านบล็อกเชนและการขุดเหมือง Bitcoin ปรับตัวขึ้นตามมาด้วย มีความเป็นไปได้ที่ราคา Bitcoin และตลาดคริปโตจะฟื้นตัวตามแนวโน้มของนโยบายการเงินของ FED ที่จะเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายด้วยเช่นกัน
“สำหรับตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงไม่เติบโตอย่างที่คิด หลังเปิดเมือง 100% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ล่าสุดถูดลดอันดับความน่าเชื่อถือลง อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนระยะยาวสามารถมองหาโอกาสที่จะทยอยสะสมหุ้นจีนได้ เพราะมองว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะเข้ามาใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วงของการปรับฐานต่อไป”