ใช่ว่าดีลการควบรวมทางธุรกิจจะเกิดขึ้นเฉพาะกับร้านและโรงคั่วกาแฟพิเศษทั่วโลกเท่านั้น ล่าสุดวงการเครื่องชงกาแฟก็มีการขยับปรับตัวแรงๆ ไม่แพ้กัน ส่อเค้าสมรภูมิตลาดอุปกรณ์เครื่องทำกาแฟเดือดพล่าน
รับศักราชใหม่สดๆร้อนๆ “ดิลองกี้” (De’Longhi) บิ๊กเนมในวงการผลิตเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัวเรือน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว “ตลาดเครื่องชงเอสเพรสโซ” ระหว่างประเทศ หลังประกาศแผนควบรวม 2 แบรนด์เครื่องชงกาแฟในเครืออย่าง “ลา มาร์ซอคโค” (La Marzocco) กับ “เอเวอร์ซิส” (Eversys) ให้เป็นกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ในฐานะแบรนด์กาแฟในพอร์ตของดิลองกี้
การขยับปรับตัวเพื่อสร้างกลุ่มบริษัทผลิตเครื่องชงกาแฟระดับโลกที่ “ครอบคลุม” ทุกเซกเม้นต์ครั้งนี้ ถือเป็นการรวมตัวกันของผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก 2 ราย ระหว่างลา มาร์ซอคโค แบรนด์เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซระดับไฮเอนของอิตาลี กับเอเวอร์ซิส แบรนด์เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติยอดนิยมจากสวิส นอกเหนือจากดิลองกี้่เองที่มีสายการผลิตอยู่แล้วในตลาดเครื่องชงกาแฟกลุ่มครัวเรือนและออฟฟิศอยู่แล้ว

แผนการสร้างกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องชงกาแฟใหม่ถอดด้ามของดิลองกี้ จริงๆแล้วเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หลังตกลงใจซื้อหุ้น 41.2% วงเงิน 374 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในลา มาร์ซอคโค จากบริษัทแม่ ดิลองกี้ อินดัสเตรียล และจะเพิ่มการซื้อหุ้นเป็นมากกว่า 61% ในไตรมาสแรกของปีนี้ เตรียม “รุกหนัก” ตลาดเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซระดับโปรเฟสชั่นแนลที่ใช้กันมากตามร้านกาแฟพรีเมี่ยมและร้านกาแฟสเปเชียลตี้ทั่วโลก
ดิลองกี้กับลา มาร์ซอคโค ถือเป็นแบรนด์สัญชาติอิตาลีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนเอเวอร์ซิส ก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในธุรกิจกาแฟจากสวิส ซึ่งคนในวงการธุรกิจกาแฟบ้านเรา ก็รู้จักและคุ้นเคยกับทั้ง 3 แบรนด์เป็นอย่างดี เพราะเข้ามาทำตลาดนานหลายปีแล้วในรูปของสำนักงานสาขาและแบบตัวแทนจำหน่าย
บอร์ดบริหารของดิลองกี้ระบุว่า “มูลค่าทางธุรกิจ” ของบริษัทในธุรกรรมนี้อยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แยกเป็นมูลค่าของลา มาร์ซอคโค 907.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าของเอเวอร์ซิส 494.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดิลองกี้จะเข้าไปถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 61.4% ในกลุ่มธุรกิจใหม่ คาดว่าการควบรวมครั้งนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกของปีนี้

“ความเคลื่อนไหวดังกล่าว นอกจากจะสร้างความร่วมมือและโอกาสในการขายต่อเนื่อง รวมถึงงานด้านการวิจัย การผลิต และการพัฒนาตลาด ยังจะยกระดับสถานะของบริษัทผู้ผลิตชาวอิตาลีในตลาดเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซแบบอัตโนมัติและแบบดั้งเดิม รวมถึงเซกเม้นต์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน” ผู้บริหารดิลองกี้ กล่าวเอาไว้
ผู้เขียนเข้าใจว่าการประกาศแผนใหญ่ทางธุรกิจของดิลองกี้คงจะมีรายละเอียดออกมามากขึ้นในเร็วๆนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับกลุ่มพนักงานของทั้ง 2 บริษัท
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้ ดิลองกี้ระบุว่า เอเวอร์ซิสกับลา มาร์ซอคโค ยังคงมี “อิสระ” ในการบริหารงานดังเดิม และโครงการการบริหารงานในปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้มั่นใจว่าความเป็นผู้นำจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเพื่อรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่โดดเด่นเอาไว้
“ดิลองกี้ อินดัสเตรียล” เป็นธุรกิจของตระกูลดิลองกี้ เปิดบริษัทขึ้นในปี 1902 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เทรวิโซ เมืองทางตอนเหนือของอิตาลี เริ่มต้นจากโรงงานขนาดเล็กรับผลิตชิ้นส่วนในภาคอุตสาหกรรม ก่อนขยับตั้งเป็นบริษัทในปี 1950 เปิดสายการผลิตแอร์และฮีตเตอร์ จากนั้นขยายเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ตามด้วยเครื่องชงกาแฟในชื่อแบรนด์ดิลองกี้ ในปี 1974 เป็นส่วนหนึ่งของการแพร่วัฒนธรรมกาแฟ “เอสเพรสโซ” และ “คาปูชิโน” ของอิตาลีออกไปทั่วโลก

ในปี 2023 ธุรกิจเกี่ยวกับกาแฟทำรายได้ให้กลุ่มดิลองกี้ถึงเกือบ 60% ของรายได้โดยรวม เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตแบบพรวดพราดของเอเวอร์ซิส ซึ่งมีเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติรุ่น “คามีโอ” (Cameo) เป็นตัวกระตุ้นยอดขาย
ดิลองกี้นั้นเข้าไปซื้อหุ้น 40% ในเอเวอร์ซิส มาตั้งแต่ปี 2017 ก่อนตกลงซื้อหุ้นเพิ่มอีก 60% ในปี 2021 ตามอ็อปชั่นที่เปิดเอาไว้ รวมเป็นมูลค่าการเข้าถือสิทธิ์กิจการทั้งสิ้น 164 ล้านดอลลาร์ จากดีลนี้ทำให้กลุ่มดีลองกี้ก้าวเข้าสู่ตลาดเครื่องชงกาแฟระดับมืออาชีพ ในเซกเม้นต์เครื่องชงอัตโนมัติระดับซูเปอร์ (ที่ถูกออกแบบมาให้มีการชงเอสเพรสโซโดยใช้แรงดันกับการทำงานของบาริสต้าให้อยู่ในอุปกรณ์เดียว) นอกจากนั้น ยังได้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีการผลิตมาจากเอเวอร์ซิสอีกด้วย
“เอเวอร์ซิส” ก่อตั้งเป็นบริษัทในปี 2009 เชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานด้านวิศวกรรม และการตลาดเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซระดับมืออาชีพ น้นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผลิตเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยเฉพาะ เมื่อปี 2020 ก็เพิ่งเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ขึ้นมา ปัจจุบันมีกำลังผลิตเครื่องชงกาแฟราว 15,000 เครื่องต่อปี

เดือนตุลาคมปีที่แล้ว เอเวอร์ซิสสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศแต่งตั้ง “โบแรม ฮูลิโอ อุ้ม” หนุ่มบราซิลเชื้อสายเกาหลี เจ้าของแชมป์บาริสต้าโลก 2023 ให้ดำรงตำแหน่งโกลบอลแบรนด์แอมบาสเดอร์ รับหน้าที่พรีเซนต์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทในงานเทศกาลกาแฟระดับนานาชาติ และทำงานร่วมกับทีมอาร์แอนด์ดีในการพัฒนาสินค้า
ในส่วนของลา มาร์ซอคโคนั้น เป็นดิลองกี้ อินตัสเตรียล บริษัทแม่ของดีลองกี้ ที่เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในปี 2021 ผ่านทางการซื้อหุ้น 33.3% และขยับเพิ่มเป็น 62.6% ในเวลาต่อมา
“ลา มาร์ซอคโค” เป็นธุรกิจเก่าแก่แห่งหนึ่งของอิตาลี ก่อตั้งในปี 1927 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ชำนาญการด้านผลิตเครื่องชงเอสเพรสโซระดับไฮเอน มีสำนักงานสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ว่ากันว่าชื่อลา มาร์ซอคโคนั้น ตั้งตามนามของ “รูปปั้นสิงโตหิน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์เลยทีเดียว
จุดเด่นของเครื่องชงลา มาร์ซอคโค คือเป็นงานทำมือทั้งระบบ สอดคล้องกับสโลแกนบริษัท “Handmade in Florence” รูปลักษณ์ดูสวยงามและคลาสสิค เป็นเครื่องชงที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ “บาริสต้า” ทั่วโลกยอมรับ เป็นหนึ่งในเครื่องชงที่มักเห็นประจำการอยู่ตามร้านรวงที่ให้บริการกาแฟเกรดพรีเมี่ยมและกาแฟแบบพิเศษ เชนร้านกาแฟดังระดับโลกอย่าง “สตาร์บัคส์” (Starbucks) ก็ใช้เครื่องชงอิตาลีแบรนด์นี้อยู่นานหลายปีทีเดียว

นอกจากนั้น ลา มาร์ซอคโค ยังเคยเป็นสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการและผู้จัดหาเครื่องชงเอสเพรสโซสำหรับ “ศึกบาริสต้าชิงแชมป์โลก” ระหว่างปี 2000-2008 มีส่วนสำคัญในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกการแข่งขันบาริสต้าชิงแชมป์โลก
แม้ต่างก็เป็นแบรนด์ดังในหมวดเครื่องชงกาแฟ แต่ก็ต่างเซกเม้นต์กันที่อาจจะมีเหลื่อมกันอยู่บ้างเล็กน้อย โดยดิลองกี้เป็นบิ๊กเนมอยู่ในตลาดเครื่องชงตามครัวเรือนและออฟฟิศ ส่วนเอเวอร์ซิสอยู่ในกลุ่มเครื่องชงอัตโนมัติระดับซูเปอร์ ขณะที่ลา มาร์ซอคโค อยู่แถวหน้าของตลาดเครื่องชงเอเพรสโซระดับมือโปร
เพื่ออัพเกรดภาพลักษณ์หนึ่งในผู้นำธุรกิจเครื่องชงกาแฟโลก กลางปี 2021 ดีลองกี้ เปิดตัวสป๊อตโฆษณาใหม่ หวังโปรโมทเครื่องชงกาแฟรุ่นล่าสุด(ตอนนั้น) ดึง“แบรด พิตต์” พระเอกมาดเซอร์วงการฮอลลี้วู้ด เป็นพรีเซนเตอร์ในภาพยนตร์โฆษณา พร้อมตั้งให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัทอีกด้วย

ก็อย่างที่ฟาบิโอ ดิลองกี้ ซีอีโอและรองประธานกลุ่มดิลองกี้ กล่าวไว้นั่นแหละ ตอกย้ำชัดเจนว่า การควบรวมครั้งนี้มุ่งเดินหน้าสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมเครื่องชงกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตลาดพรีเมียมทั้งระดับผู้บริโภคและระดับโปรเฟสชั่นแนล
สำหรับตอนนี้ ถ้าผู้เขียนมีอาชีพเป็นเซลขายเครื่องชงกาแฟก็คงอยากรู้มากที่สุดว่า สามารถนำเสนอสินค้าทั้ง 3 แบรนด์ที่มีอยู่หลายรุ่นหลายแบบ เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าได้หรือไม่ ตั้งแต่เครื่องชงเอสเพรสโซเกรดพรีเมี่ยม ไปจนถึงเครื่องทำกาแฟแบบกดปุ่มคุณภาพสูง ยันเครื่องชงกาแฟตามบ้านและออฟฟิศที่ราคาเอื้อมถึงได้ !
facebook : CoffeebyBluehill