กาแฟแอฟริกา “สะเทือนหนัก” กฎเข้มอียู! ห้ามสินค้าเอี่ยวทำลายป่า

สำหรับผู้ประกอบการแล้ว การส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป (อียู) ดูเหมือนจะยากลำบากขึ้นไปทุกๆ ปี ปีก่อนมีกฎคุมเข้มบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง พอมาปีนี้มีระเบียบเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ให้ต้องเตรียมรับมือกันอีก เป็น “กฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์จากการตัดไม้ทำลายป่า” แต่เอาเถอะ เป้าหมายของกฎใหม่นั้นอยู่ที่ความยั่งยืนของโลกและสิ่งแวดล้อม ผู้เขียนในฐานะผู้บริโภคยอมรับว่าก็โอเคนะ

อียูประกาศใช้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation มีตัวย่อว่า EUDR ตั้งแต่เมื่อ 29 มิถุนายน 2023 ครอบคลุมการส่งออกและนำเข้าสินค้า 7 กลุ่มในสหภาพยุโรป ได้แก่ ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, วัว, ไม้, กาแฟ, โกโก้ และถั่วเหลือง

กฎหมาย EUDR นี้มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านอยู่ 2 สเต็ป โดยสเต็ปแรกจะเริ่มมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบสำหรับ “ผู้ประกอบการรายใหญ่” ทั้งกลุ่มผู้ผลิต, ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก ในวันที่ 30 ธันวาคม 2024 ส่วนสเต็ปถัดไปสำหรับ “กลุ่มเอสเอ็มอี” ที่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2025

สื่อเยอรมนีชี้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทค้ากาแฟตามกฎ EUDR อาจส่งผลให้เกิดปัญหากาแฟขาดแคลนขึ้นได้ในทวีปยุโรป ภาพ : Jess Eddy on Unsplash

ผลกระทบจากกฎหมายนี้ หลายๆ คนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปสำหรับตลาดกาแฟเมืองไทย แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อ 2 ปีก่อน กระทรวงพาณิชย์ก็พยายามผลักดันให้ “กาแฟเกรดสเปเชียลตี้” ของไทยเข้าไปบุกตลาดยุโรป เนื่องจากเห็นว่าผลิตภัณฑ์กาแฟไทยยังคงมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก พอมาเจอเงื่อนไขใหม่ตามกฎหมาย EUDR เข้า ไม่รู้ว่าโจทย์ของกระทรวงพาณิชย์จะเริ่มยากหรือไม่

แต่ก็นั่นแหละครับทุกวิกฤติ(ของคนอื่น) อาจเป็นโอกาส(ของเรา) ก็ได้

อีกประการตามหลักอุปสงค์-อุปทานแล้ว อาจมีเรื่องราคากาแฟซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภค กติกาเข้มๆ ของอียู อาจทำให้พ่อค้ากาแฟรายใหญ่ “ถอยห่าง” จากไร่กาแฟในภูมิภาคที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือไม่-อย่างไร โดยอาจหันไปซื้อจากแหล่งปลูกอื่นๆ แทน

จึงน่าคิดว่าราคาสารกาแฟที่ซื้อ-ขายกันในตลาดต่างประเทศ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด แล้ว “ผู้บริโภค” จะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของราคากาแฟหรือไม่

ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการรายใหญ่ในภาคธุรกิจกาแฟต่างประเทศเริ่มออกมาเคลื่อนไหวรับมือกับกฎหมายฉบับนี้กันแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีผลบังคับใช้ในสิ้นปีนี้

ผู้ปลูกกาแฟรายย่อยในทวีปแอฟริกา มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด จากกฎหมายห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์จากการตัดไม้ทำลายป่าของอียู ภาพ : vandelino dias Junior จาก Pixabay

19 ธันวาคม 2023

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บรรดาผู้นำเข้าสารกาแฟไปยังตลาดยุโรป เริ่มลดปริมาณการสั่งซื้อกาแฟจากเกษตรกรรายย่อยในทวีปแอฟริกาและที่อื่นๆ เป็นการเตรียมความพร้อมต่อกฎหมายสำคัญของอียู ที่มีระเบียบห้ามขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้

อียูเห็นว่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับสองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ “ไคลเมท เชนจ์” รองจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน

28 มกราคม 2024

เซกาเย่ อาเนโบ ผู้จัดการ “สหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟซิดาม่า” ในเอธิโอเปีย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวด็อยท์เชอเว็ลเลอของเยอรมนี ว่า ปีนี้เราไม่เห็นผู้ซื้อเข้ามามากนัก โดยปกติแล้ว ช่วงนี้เกษตรกรจะได้รับคำสั่งซื้อกาแฟเพื่อนำไปขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าติดต่อกันหลายเดือน โดยอาเนโบ มองว่าเป็นผลจากความไม่ชัดเจนของกฎระเบียบใหม่อียูที่สร้างความรู้สึก “คลุมเครือ” ขึ้นในตลาด

ความเห็นของ เซกาเย่ อาเนโบ ถูกแชร์ผ่านโลกโซเชียลมีเดียโดยผู้ผลิตกาแฟชาวแอฟริกันหลายราย รวมทั้งสหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟโอโรเมีย ในเอธิโอเปีย เองด้วย

21 กุมภาพันธ์ 2024

“สมาคมกาแฟแห่งชาติกัวเตมาลา” ลงนามในความร่วมมือกับ “เจดีอี พีทส์” บริษัทค้ากาแฟอเมริกัน-ดัทช์ และ “เอ็นเวอริตัส” องค์กรเอ็นจีโอที่ทำงานด้านสำรวจวิจัยกาแฟและโกโก้ทั่วโลก ริเริ่มโปรเจกต์ที่จะอนุญาตให้เอ็นเวอริตัส ดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่า กัวเตมาลาจะไม่ส่งออกกาแฟที่ปลูกบนพื้นที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หลังจากสิ้นเดือนธันวาคม 2020  อันเป็นไปตามระเบียบใหม่ EUDR

กัวเตมาลากลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟชาติแรกในละตินอเมริกาที่ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อรับรองว่ากาแฟที่ส่งออกไปยุโรปจะเป็นไปตามกฎหมายใหม่

 22 กุมภาพันธ์ 2024

สหพันธ์ผู้ค้ากาแฟยุโรป (อีซีเอฟ) เรียกร้องให้อียู “ชะลอ” การบังคับใช้กฎหมายปลอดการตัดไม้ทำลายป่าออกไปก่อน เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยยังไม่มีความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงภายในสิ้นปีนี้ และหากว่ากฎหมายมีการบังคับใช้ จะมีผลกระทบรุนแรงต่อผู้ปลูกกาแฟรายย่อยหลายล้านรายที่ส่งออกกาแฟเข้ามาขายยังตลาดยุโรป

กลุ่มอีซีเอฟถือเป็นกลุ่มธุรกิจกาแฟที่มี “อิทธิพลสูง” ทีเดียวในยุโรป สมาชิกล้วนแต่เป็นบริษัทขนาดใหญ่แทบทั้งสิ้น เช่น ลาวาซซา, อิลลี่, เจดีอี พีทส์, เนสท์เล่ และ สตาร์บัคส์ รวมไปถึงบริษัทนำเข้าสารกาแฟรายสำคัญอย่าง อีคอม, โอฟี, หลุยส์ เดรย์ฟัส และ ซูคาฟิน่า

รายได้ส่วนใหญ่ของเอธิโอเปีย มาจากกาแฟที่ผลิตโดยเกษตรกรรายย่อยที่มีอยู่ราว 2.2 ล้านครอบครัว ในปัจจุบัน ภาพ : ningxin23minor จาก Pixabay

อย่างที่ทราบกันดีว่า การส่งออกและนำเข้าสินค้า 7 กลุ่มตามกฎหมาย EUDR นั้น ได้แก่ ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, วัว, ไม้, กาแฟ, โกโก้ และถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ เช่น ถุงมือยาง, กระดาษ และเฟอร์นิเจอร์ไม้ โดยสินค้าเหล่านี้ต้องผ่านการตรวจสอบและรายงานที่มาตามขั้นตอนที่อียูกำหนด หลักๆคือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าหรือการทำให้ป่าเสื่อมโทรม

อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจส่งออกกาแฟไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายตัวนี้ เพราะปริมาณการส่งออกกาแฟไปตลาดยุโรปมีปริมาณน้อย ต่างไปจากพืชผลการเกษตรอื่นๆเช่น ยางพารา และปาล์มน้ำมัน

มีการวิเคราะห์กันว่า ผู้ปลูกกาแฟรายย่อยใน “ทวีปแอฟริกา” มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด และอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์ EUDR เพราะยังคงมีสถานการณ์รุกป่าเพื่อปลูกพืชเกษตร เช่นเดียวกับไร่กาแฟแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนทางละตินอเมริกา ทว่าไร่กาแฟโซนนี้สามารถตรวจสอบข้อมูล “ย้อนหลัง” ได้ง่ายกว่า แม้จะมีการประเมินกัน ว่า บราซิลมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้นๆ เพราะมียุโรปเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด

ผู้นำเข้าสารกาแฟไปยังยุโรป เริ่มลดปริมาณการสั่งซื้อกาแฟจากเกษตรกรรายย่อยในแอฟริกา เตรียมรับมือกฎหมายใหม่ EUDR ภาพ : Peter Bösken จาก Pixabay

สำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งรายงานทำนองว่า  เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยในแอฟริกาจำนวนมากซึ่งขายผลผลิตให้กับตลาดยุโรปเป็นหลัก ขณะนี้พบว่าแหล่งรายได้หลักของพวกเขา ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ “ไม่แน่นอน” เอาเสียแล้ว

ส่วนสำนักข่าวชั้นนำของเยอรมันที่ชื่อด็อยท์เชอเว็ลเลอ พาดหัวข่าวแบบฟันธงลงไปว่า  กฎหมายห้ามตัดไม้ทำลายป่าของอียู ก่อให้เกิดความเสี่ยงขึ้นต่อกลุ่มผู้ปลูกกาแฟรายย่อยที่ส่งออกไปยังยุโรป โดยเฉพาะในแอฟริกา  พร้อมทั้งคำถามว่า เกษตรกรรายย่อยสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย EUDR ได้จริงๆหรือ

ด็อยท์เชอเว็ลเลอ ให้ข้อมูลว่า เกษตรกรรายย่อยประมาณ 25 ล้านคน ผลิตกาแฟในสัดส่วนประมาณ 80% ของการบริโภคทั่วโลก แล้วเกษตรกรรายย่อยหลายคนก็อาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลชุนชนเมือง บางจุดอินเตอร์เน็ตเข้าไปไม่ถึง อย่างใน “เอธิโอเปีย” เพียงประเทศเดียว เกษตรกรราว 2.2 ล้านครอบครัว ผลิตกาแฟรายหลักๆของประเทศ การส่งออกกาแฟนำมาซึ่งรายได้มหาศาลให้ประเทศ

ปัญหาขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและขาดแรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ เป็น “อุปสรรคใหญ่” ของเกษตรกรรายย่อยในเอธิโอเปีย อาจส่งผลให้ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่อียู แล้วหลายๆคนก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

ไม่ใช่ว่าผู้ปลูกกาแฟในเอธิโอเปียจะขาดความพร้อมไปเสียทุกราย อย่างสมาชิกสหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟซิดาม่า โซนปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียง ก็ได้นำมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นเวลาหลายปีแล้ว แถมผลผลิตกาแฟยังได้รับใบรับรองด้านความยั่งยืนระดับสากลจากหลายสถาบัน

แต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟหลายล้านรายทั่วแอฟริกา ใช่จะมีความพร้อมเหมือนกันหมด

เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปฏิบัติตามกฎ EUDR  ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบางรายหันไปมองหาผู้ซื้อจากนอกทวีปยุโรป ประเด็นนี้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหากาแฟ “ขาดแคลน” ขึ้นได้ในยุโรป…สื่อเยอรมันสรุปความเห็นไว้อย่างนี้แหละครับท่านผู้อ่าน

เจดีอี พีทส์ ประกาศโปรเจกต์นำร่องว่าด้วยไร่กาแฟปลอดการตัดไม้ทำลายป่า กับผู้ผลิตกาแฟใน 5 ประเทศ ภาพ : jdepeets.com

วานูเซีย โนเกยร่า ผู้อำนวยการบริหารองค์การกาแฟระหว่างประเทศ ก็เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อเดือนธันวาคม 2024 ว่า สำหรับยุโรปแล้ว กาแฟจะหาซื้อได้ยากขึ้นในอนาคต เนื่องจากขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ และยุโรปอาจต้องเผชิญกับปัญหาด้านการขาดแคลนกาแฟ

ประเด็นที่อาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนกาแฟในยุโรปนั้น ผู้เขียนมองว่า ไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้นนั้น เพราะเทรดเดอร์ค้ากาแฟสามารถจัดหากาแฟจากแหล่งอื่นๆมาทดแทนได้  แต่ถ้าพูดถึง “ราคากาแฟต่อแก้ว” ที่เราดื่มกันอาจปรับตัวขึ้นในบางช่วงบางตอน เคสนี้เป็นไปได้มากกว่า

แล้วก็ดูเหมือนเวลานี้ ผู้นำกาแฟรายใหญ่ๆ ได้เตรียมการรับมือสถานการณ์กันไว้บ้างแล้ว

สำหรับบริษัทค้ากาแฟที่นำเข้าสารกาแฟจากแหลงปลูกทั่วโลกเข้าไปยังตลาดยุโรป กฎหมาย EUDR ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องจากจะส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ จากผลของการปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น จัดทำรายงานการตรวจสอบข้อมูลกาแฟนำเข้า และการรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต

แล้วการตรวจสอบว่าไร่กาแฟทำผิดกฎหมาย EUDR  หรือไม่นั้น อียูได้กำหนดให้บริษัทจัดทำพิกัดทางภูมิศาสตร์ของที่ดินปลูกกาแฟ ผ่านทาง “แอพพลิเคชั่น” บนสมาร์ทโฟนและ “โปรแกรม” ต่างๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เสียด้วย

ก็ไม่แน่ใจว่าต้นทุนที่สูงขึ้นนี้ บริษัทค้ากาแฟจะผลักภาระไปให้ใคร เกษตรกรผู้ผลิตหรือผู้บริโภค หรือยินดีรับไว้เอง!

สหพันธ์ผู้ค้ากาแฟยุโรป เรียกร้องให้อียูชะลอการบังคับใช้กฎหมายปลอดการตัดไม้ทำลายป่าออกไปก่อน เพราะหวั่นเกรงผลกระทบ ภาพ : Ben Moreland on Unsplash

ที่น่าชวนปวดหัวอีกเรื่องก็คือ หากอียูมีการตรวจสอบย้อนหลังแล้วไปพบว่า กาแฟที่บริษัทนำเข้ามายุโรป ปลูกบนพื้นที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าหลังจากเดือนธันวาคม 2020 แน่นอนว่าผู้นำเข้ากาแฟดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย แล้วหากว่าเกิดไปสต็อกสารกาแฟไว้เยอะ หรือนำออกไปคั่วจำหน่ายบ้างแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไร จะมีการเรียกเก็บสินค้าไหม จะนำไปทิ้งหรือเปล่า หรือแค่ปรับเงินก็นำสารกาแฟมาใช้ประโยชน์ได้ต่อ  คำถามมีมากมายจริงๆ

เรื่องการจัดหากาแฟโดยไม่ต้องผิดกฎใหม่อียูนั้น “เจดีอี พีทส์” บริษัทค้ากาแฟอเมริกัน-ดัทช์ ดูจะโดดเด่นนำหน้ารายอื่นๆอยู่บ้าง โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประกาศโปรเจกต์นำร่องว่าด้วยไร่กาแฟปลอดการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลก กับประเทศผู้ผลิตกาแฟอย่างน้อย 5 ประเทศ เช่น เวียดนาม, เอธิโอเปีย, ปาปัวนิวกินี, แทนซาเนีย และยูกันดา คาดว่าจะมีเพิ่มเติมอีกในหลายประเทศ

กับโปรเจกต์นี้ เจดีอี พีทส์ร่วมมือกับ “เอ็นเวอริตัส” องค์กรเอ็นจีโอระหว่างประเทศ ในการตรวจสอบความยั่งยืนของการปลูกกาแฟ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ,ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการตรวจสอบภาคพื้นดิน เพื่อเช็คสภาพพื้นที่ปลูกกาแฟว่ามีการบุกรุกเข้าไปตัดไม้ทำลายป่าหรือไม่ เป้าหมายคือการรับรองว่ากาแฟจากไร่นั้นๆปลูกในพื้นที่ซึ่งไม่มีปัญหาทำลายป่า สามารถส่งออกกาแฟไปยังตลาดยุโรปได้

การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ อันนี้เข้าใจได้ครับ แต่สำหรับ AI ยังนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่ามีขั้นตอนทำงานอย่างไรบ้าง ยอมรับว่าผู้เขียนขาดแคลนความรู้ด้านนี้มากๆครับ

นี่เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของวงการกาแฟทั่วโลก อันเป็นผลกระทบจากกฎหมายห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์จากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป เพียงแค่ต้นปีก็ยังเข้มข้นขนาดนี้แล้วครับท่านผู้อ่าน


facebook : CoffeebyBluehill

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *