แนวโน้มเศรษฐกิจ-ทิศทางการจ้างงานปีพ.ศ. 2568 และรายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นการจ้างงาน-จ่ายโบนัส-ปรับค่าจ้าง

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทยปี 2567/68

การพยากรณ์ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากน้อยเพียงใดจำเป็นจะต้องเห็นภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าและบริการระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูงประมาณร้อยละ 1.31 เท่าของ GDP การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกจึงมีผลต่อเศรษฐกิจไทย ด้านปัจจัยภายในเกี่ยวข้องกับการบริโภคของภาคธุรกิจและประชาชนซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นนัยกับสภาพคล่องและกับดักหนี้ครัวเรือนไปจนถึงหนี้ธุรกิจ นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายมหภาค รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นการบริโภคและการลงทุนโดยมีสัดส่วนอยู่ใน GDP ประมาณร้อยละ 58 และร้อยละ 17.3 ตามลำดับซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการจ้างงานของตลาดแรงงาน

บริบทไทยเป็นประเทศที่ติดกับดักเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างต่ำกว่าศักยภาพการขยายตัวเศรษฐกิจไทยช่วง 3 ปี (พ.ศ. 2564 – 2566) หลังวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.0 เป็นอัตราต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก รายงานฉบับนี้ประเมินเศรษฐกิจหรือ GDP รวมทั้งดัชนีขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยด้วยการใช้ค่าเฉลี่ยของหน่วยงานรัฐ 3 หน่วยงาน  (สศช., ธปท., สศค.) ปีพ.ศ. 2567 เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.67 โดยช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.36 ประเมินว่าในปีพ.ศ. 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.9 – 3.0 (ตัวเลขนี้เข้าใจว่ารวมงบกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2) สะท้อนว่าเศรษฐกิจขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาสอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและเชื่อมั่นธุรกิจของสถานประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าใกล้เคียงกับปี 2567 ยกเว้นภาคส่งออกผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจขยายตัวได้ดี

ปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ภาคการส่งออกเชิงเงินบาทมูลค่าประมาณ 10.610 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ใน GDP ร้อยละ 57.70 การขยายตัวปี 2567 (เชิงเหรียญสหรัฐ) คาดว่าน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 – 5.0 สำหรับปี 2568 ภายใต้ความไม่แน่นอนของนโยบายปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาซึ่งอาจมีมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าที่จะใช้ตอบโต้กับจีนในอัตราร้อยละ 60 และประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยซึ่งได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในอัตราร้อยละ 10 – 20 อาจกระทบการค้าโลกอาจทำให้การส่งออกขยายตัวได้เพียงร้อยละ 3.14 ห่วงโซ่อุปทานของภาคส่งออกเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนำเข้า-ภาคบริการ-โลจิสติกส์และแรงงานจำนวนมากมีผลต่อการบริโภคและการลงทุนต่อเนื่อง

ภาคการท่องเที่ยวโดยรวมในเชิงปริมาณขยายตัวได้ร้อยละ 9.3 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 35.75 ล้านคนคาดว่ารายได้ (รวม) จากภาคท่องเที่ยวปี 2567 ประมาณ 2.328 ล้านล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.59 ของ GDP สำหรับปีถัดไปคาดว่าในภาพรวมจะขยายตัวได้ร้อยละ 12.2 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 39.5 ล้านคนใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19 การที่ภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทำให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ร้อยละ 4.53 ซึ่งต่ำกว่าปีพ.ศ. 2566 ที่ขยายตัวได้ร้อยละ 7.1 แสดงให้เห็นที่ผ่านมาการบริโภคมีการชะลอตัวลง หากปีถัดมาการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินเฟส 2 และเฟส 3 ใช้งบประมาณรวมกัน 1.8 แสนล้านบาทและมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอาจทำให้การบริโภคฟื้นตัวได้เล็กน้อย

การที่ภาคส่งออกและท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวส่งผลทำให้มีการลงทุนทั้งด้านขยายกิจการและลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยปี 2567 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.73 การลงทุนผ่าน BOI ที่อนุมัติแล้วขยายตัวได้ร้อยละ 42 มูลค่าการลงทุนประมาณ 8.962 แสนล้านบาทสูงสุดในรอบทศวรรษโดยร้อยละ 75.6 เป็นการลงทุนโดยตรง (FDI) ซึ่งจะเป็นอานิสงค์ต่อการลงทุนภาคเอกชนปีพ.ศ. 2568 อาจขยายตัวได้ร้อยละ 4.6 การที่เศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวมีผลเป็นนัยต่อตลาดแรงงานและการจ้างงานอัตราการว่างงานของประเทศ (ต.ค. 67) มีจำนวน 3.9 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ขณะที่แรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 (ต.ค.67) มีจำนวน 11.986 ล้านคน ในช่วง 10 เดือนแรกการจ้างแรงงานสุทธิจำนวน 160,088 คน อัตราการว่างงานของแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 อยู่ที่ร้อยละ 1.80 จำนวนคนว่างงานขอรับประโยชน์ทดแทน 2.162 แสนคน

ตลาดแรงงานและการจ้างงาน

การขยายตัวหรือหดตัวทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานอย่างเป็นนัย หากภาวะเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดีจะทำให้เกิดการบริโภคตามด้วยการขยายกิจการและการลงทุนส่งผลต่อเสถียรภาพการจ้างงาน ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจ้างงาน เช่น การขับเคลื่อนการส่งออกซึ่งเป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย โซ่อุปทานการส่งออกเกี่ยวข้องตั้งแต่อุตสาหกรรมนำเข้า-อุตสาหกรรมผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศรวมถึงภาคเกษตรกรรมและภาคโลจิสติกส์ นอกจากนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาคท่องเที่ยวค้าส่ง-ค้าปลีก-ก่อสร้างและภาคบริการ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้มีการจ้างงานผลที่ตามมาคือการบริโภคและจับจ่ายใช้สอยของภาคแรงงานซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

1.ภาพรวมตลาดแรงงานและสภาวะการจ้างงาน

1) อัตราการว่างงาน ตลาดแรงงานของไทย ณ เดือนตุลาคม 2567 ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 39.63 ล้านคน มีผู้ว่างงานประมาณ 3.87 – 3.9 แสนคน อัตราการว่างงานของประเทศร้อยละ 0.97 – 1.0 ในจำนวนนี้ร้อยละ 41.3 ของผู้ว่างงานจบระดับอุดมศึกษาและสูงกว่า อีกทั้งผู้ว่างงานใหม่ซึ่งไม่เคยทำงานมาก่อนมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของผู้ว่างงานทั้งหมดรวมกัน อัตราว่างงานของไทยอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงเนื่องจากยังไม่รวมผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อวันจำนวนประมาณ 1.84 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 0.46 ของผู้มีงานทำ ด้านอัตราการว่างงานของแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ณ เดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 216,213 คนสัดส่วนร้อยละ 1.80 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีพ.ศ. 2566 อัตราการว่างงานร้อยละ 1.93 ในจำนวนนี้มีผู้ที่ว่างงานรายใหม่จำนวน 75,885 คน สูงสุดในรอบ 6 เดือน ภาพรวมอัตราว่างงานไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ไปจนถึงไตรมาสแรกปี 2568 อาจมีผู้ว่างงานมากขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอยู่ในภาวะนิ่ง การจ้างงานใหม่ชะลอตัวเนื่องจากธุรกิจจำนวนมากขาดสภาพคล่องจนต้องเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ จากการสำรวจของสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่าสถานประกอบการซึ่งเป็นตัวอย่าง 591 กิจการส่วนใหญ่สัดส่วนร้อยละ 52.8 ระบุว่าการจ้างงานคงเดิม ขณะที่กลุ่มตัวอย่างระบุว่าอาจลดจำนวนแรงงานลงร้อยละ 24.2 สอดคล้องกับสถานประกอบการอาจมีการปิดตัวมากขึ้น (รายละเอียดดูจากหน้า 4)

2) การจ้างงาน

– แรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ภาวะการจ้างงานของตลาดแรงงานกลับมาฟื้นตัวหลังจากวิกฤตแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง ข้อมูลที่ชัดเจนคือการจ้างแรงงานในระบบประกันสังคม
มาตรา 33 ข้อมูลล่าสุดเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 11,986,943 คน ต่ำสุดในช่วง 5 เดือน ในช่วง
10 เดือน (ม.ค. – ต.ค.) การจ้างแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 เพิ่มขึ้น (สุทธิ) 160,088 คน
เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.35 ในมิติการจ้างงานสุทธิลดลงร้อยละ 0.49 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามแรงงานใหม่ที่จบการศึกษาในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 มีจำนวนประมาณ 373,488 คน ส่วนใหญ่จบระดับปริญญาตรีร้อยละ 44.2 คำถามคือแรงงานส่วนที่เหลือไปอยู่ที่ไหนและแต่ละปีที่ผ่านมาจะมีแรงงานที่จบใหม่ที่ไม่มีงานสะสมอยู่เป็นจำนวนเท่าไร ตัวเลขเหล่านี้อยู่นอกสำรวจอัตราการว่างงาน

– แรงงานต่างด้าว เป็นแรงงานไร้ทักษะทำงานในอุตสาหกรรมหรือภาคบริการซึ่งใช้แรงงานเข้มข้น ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2567 แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมีจำนวน 3,348,080 คน ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาการจ้างงาน (สุทธิ) ลดลงจำนวน 67,694 คน คิดเป็นร้อยละ 2.0 แรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่เป็น
สัญชาติเมียนมามีสัดส่วนถึงร้อยละ 70.25 ตามด้วยสัญชาติกัมพูชาสัดส่วนร้อยละ 13.69 ที่เหลือเป็นแรงงานสปป.ลาวและสัญชาติอื่นๆ ทั้งนี้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะจำนวน 186,603 คน โดยร้อยละ 31.2 เข้ามาทำงานตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน

– การจ้างงานแรงงานตามคลัสเตอร์ที่สำคัญ ข้อมูล ณ ตุลาคม 2567 โดยการเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 จากภาวะเศรษฐกิจที่ทรงตัวต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้าส่งผลทำให้จำนวนการจ้างงานในแต่ละคลัสเตอร์ในแต่ละธุรกิจส่วนใหญ่มีการจ้างงานลดลง เช่น ภาคค้าส่ง-ค้าปลีกและภาคการผลิต สำหรับคลัสเตอร์ธุรกิจที่ฟื้นตัวและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นคือภาคท่องเที่ยว

ภาวะเศรษฐกิจของไทยปีพ.ศ. 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงอย่างน้อยครึ่งปีพ.ศ. 2568 เศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะค่อนข้างนิ่ง เศรษฐกิจไทยทั้งภาคส่งออกและท่องเที่ยวรวมถึงการบริโภคและการลงทุนเกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก World Bank ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.7 จากการสำรวจของสภาที่ปรึกษาฯ พบว่าความเชื่อมั่นการจ้างงานอยู่ในสภาพเปราะบาง รายละเอียดสามารถติดตามได้จากผลสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและการจ้างงาน (หน้าถัดไป)

ผลสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ-การจ้างงาน-การปรับค่าจ้างปี 2568

เพื่อให้เห็นภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการจ้างงานปี 2568 ทางคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้จัดทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 – 22 พฤศจิกายน 2567 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม นิติบุคคล 852 กิจการ แยกสำรวจเป็น 2 กลุ่มคือ สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ 591 กิจการ และสถาบันวิชาการ
วี-เซิร์ฟแยกสำรวจเฉพาะอุตสาหกรรมส่งออกจำนวน 261 กิจการ ครอบคลุม 31 จังหวัดทั้ง 5 ภาคและกทม. การสำรวจแยกเป็นคลัสเตอร์ที่สำคัญทั้งภาคอุตสาหกรรม-บริการ-ค้าปลีก-ค้าส่ง ฯลฯ และแยกขนาดการจ้างงานตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นที่สำรวจมีดังนี้

สรุปดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจและการจ้างงานปี 2568

ดัชนี สัดส่วน สัดส่วน สัดส่วน
ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ดีขึ้นร้อยละ       28.3 คงเดิมร้อยละ    44.3 แย่ลงร้อยละ    27.4
ความเชื่อมั่นแนวโน้มธุรกิจ ดีขึ้นร้อยละ       35.7 คงเดิมร้อยละ    42.5 แย่ลงร้อยละ    21.8
ความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมการส่งออก ดีขึ้นร้อยละ      70.11 คงเดิมร้อยละ  25.67 แย่ลงร้อยละ     4.22
ความเชื่อมั่นการจ้างงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ    23.0 คงเดิมร้อยละ    52.8 ลดลงร้อยละ    24.2
ความเชื่อมั่นแนวโน้มการปรับค่าจ้าง เพิ่มขึ้นร้อยละ     42.1 ไม่ปรับร้อยละ   46.4 ไม่แน่ใจร้อยละ  11.5
ความเชื่อมั่นการจ่ายโบนัสปี 2567 มีการจ่ายร้อยละ 41.1 ไม่จ่ายร้อยละ    31.1 ไม่แน่ใจร้อยละ  27.8
ความยาก/ง่ายการสรรหาบุคลากร : ต่ำกว่าปริญญาตรีสรรหาได้ตามปกติร้อยละ     68.0

: ระดับปริญญาตรีสรรหาได้ตามปกติร้อยละ      64.5

 

 

ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ : ภาพรวมธุรกิจเอกชนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นร้อยละ 28.3 เศรษฐกิจ
คงเดิมร้อยละ 44.3 และแย่ลงร้อยละ 27.4 หากแยกตามขนาดธุรกิจตามจำนวนการจ้างงานธุรกิจ ขนาดเล็กเชื่อมั่นเศรษฐกิจดีขึ้นร้อยละ 22.1 ขนาดกลางดีขึ้นร้อยละ 32.5 และขนาดใหญ่ดีขึ้นร้อยละ 31.8

ความเชื่อมั่นแนวโน้มการดำเนินการของธุรกิจ : ภาพรวมธุรกิจเอกชนเชื่อมั่นแนวโน้มธุรกิจดีขึ้น
ร้อยละ 35.7 คงเดิมร้อยละ 42.5 แย่ลงร้อยละ 21.8 หากแยกตามขนาดธุรกิจตามจำนวนการจ้างงาน ธุรกิจขนาดเล็กเชื่อมั่นดีขึ้นร้อยละ 27.2 ขนาดกลางดีขึ้นร้อยละ 39.4 และขนาดใหญ่ดีขึ้นร้อยละ 43.9

สำหรับความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมส่งออกซึ่งมีการแยกสำรวจต่างหาก ส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจปี 2568 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นสัดส่วนร้อยละ 70.11 คงเดิมร้อยละ 25.67 และแย่ลงร้อยละ 4.22 แสดงให้เห็นว่าภาคส่งออกยังเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ

ความเชื่อมั่นการจ้างงาน : ภายใต้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซาสถานประกอบการจำนวนมากขาดสภาพคล่องจนรัฐบาลต้องจัดโครงการปรับโครงสร้างหนี้มีผลต่อการจ้างงานปี 2568 จากแบบสอบถามภาพรวมธุรกิจเอกชนเชื่อมั่นการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 23.0  ส่วนใหญ่ไม่จ้างเพิ่ม/คงเดิมสัดส่วนร้อยละ 52.8 และอาจลดลงสัดส่วนร้อยละ 24.2 หากแยกตามขนาดธุรกิจตามจำนวนการจ้างงาน ธุรกิจขนาดเล็กเชื่อมั่นการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3 ขนาดกลางเพิ่มขึ้นขึ้นร้อยละ 26.0 และขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1

แนวโน้มการปรับค่าจ้าง : สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ไม่เอื้อต่อการปรับค่าจ้างและอุปสงค์ความต้องการงานมีมากกว่าอุปทานของตลาดแรงงาน ภาพรวมสถานประกอบการส่วนใหญ่ระบุไม่ปรับค่าจ้างคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.4 แนวโน้มการปรับเพิ่มค่าจ้างสัดส่วนร้อยละ 42.1 (เฉลี่ยค่าจ้างปรับขึ้นร้อยละ 4 – 5) และไม่แน่ใจร้อยละ 11.5

แนวโน้มการปรับโบนัส : ปี 2568 สถานประกอบการส่วนใหญ่ที่สำรวจระบุว่ามีการจ่ายโบนัสคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.1 ที่ตอบว่าไม่จ่ายโบนัสสัดส่วนร้อยละ 31.1 และไม่แน่ใจสัดส่วนร้อยละ 27.1 หากจ่ายโบนัสเฉลี่ย 1.0 – 1.5 เท่าของเงินเดือน ส่วนหนึ่งกำหนดไว้ในข้อบังคับการทำงาน

ผลสำรวจผลกระทบการปรับค่าจ้างอัตรา 400 บาททั่วประเทศ จากการสำรวจตัวอย่าง 586 กิจการ ธุรกิจส่วนใหญ่ร้อยละ 74.9 กระทบมากไปจนถึงปานกลาง โดยมีรายละเอียดดังนี้ ได้รับกระทบมากสัดส่วนร้อยละ 43.2 กระทบปานกลางร้อยละ 31.7 ธุรกิจที่กระทบน้อยสัดส่วนร้อยละ 12.6 และไม่กระทบร้อยละ 12.5

ตารางดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจปี 2568 (ค่าถัวเฉลี่ย)

ข้อมูลณ 2 ธ.ค. 2567

ดัชนี พ.ศ.2566 พ.ศ.2567 พ.ศ.2568 หมายเหตุ
อัตราการขยายตัว (GDP/ร้อยละ)

– GDP ภาคอุตสาหกรรม

– GDP ภาคบริการ

– GDP ภาคเกษตร

1.9

-2.4

4.3

2.0

2.67

0.7

3.56

-1.7

2.90–3.0

ช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 2.36
มูลค่าการส่งออก (ล้านUSD) -0.82 4.94 3.14 ข้อมูล ต.ค. 67

ค่าถัวเฉลี่ย ก.พาณิชย์ + ธปท. + สศค.

มูลค่าการนำเข้า (ล้านUSD) -4.16 6.55 3.47
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ล้านคน) 28.2 35.75 39.5 รายได้ท่องเที่ยว (รวม) 2.328 ล้านล้านบาท
การบริโภคเอกชน (ขยายตัวร้อยละ)

การนำเข้าสินค้าอุปโภค-บริโภค (บาท)

7.1

0.94

4.53

8.78

2.8

 
การลงทุนเอกชน (ขยายตัวร้อยละ)

การนำเข้าสินค้าทุน-เครื่องจักร

3.2

3.69

1.73

14.71

2.67

ปี 2567 การลงทุน FDI 7.288 แสนล้านบาท ขยายตัว 3.8 %
การบริโภคภาครัฐ (ขยายตัวร้อยละ) -4.6 1.93 2.3  
การลงทุนภาครัฐ (ขยายตัวร้อยละ) -4.6 2.4 5.2  
เงินเฟ้อทั่วไป 1.2 0.46 1.0  
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค -1.1 ข้อมูลไตรมาส 3/67
อัตราว่างงานทั่วประเทศ 1.0 >1.0  
อัตราว่างงานแรงงานประกันสังคมม.33 2.24 2.1 ข้อมูลเดือนกันยายน 67
ดัชนีเชื่อมั่นการจ้างงาน (หน่วย : ร้อยละ) เพิ่มขึ้น 23.0, คงเดิม 52.8, ลดลง 24.2
ดัชนีเชื่อมั่นเศรษฐกิจ (หน่วย : ร้อยละ) เพิ่มขึ้น 28.3, คงเดิม 44.3, ลดลง 27.4

หมายเหตุ : ข้อมูลที่ปรากฏส่วนใหญ่เป็นการถัวเฉลี่ยจากข้อมูลของหน่วยงานรัฐ 3 หน่วยคือ สศช., ธปท., และ สศค. ข้อมูลส่งออก-นำเข้าใช้ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์และดัชนีเชื่อมั่นเศรษฐกิจใช้ข้อมูลการสำรวจของสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ จำนวนตัวอย่าง 591 กิจการ


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *