แพงลากยาว… กาแฟตลาดโลกปี 2025

ทำใจได้เลยครับ…กับสภาพอากาศที่แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะจะยังคงเป็นปัจจัยลบผลักดันให้ราคากาแฟทั้ง “อาราบิก้า” และ “โรบัสต้า” ปรับตัวขึ้นสูงอีกในปี 2025 หรืออาจในปีต่อๆไปด้วยซ้ำ

ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์การผลิตกาแฟในแหล่งปลูกใหญ่ๆอย่าง “บราซิล” และ “เวียดนาม”  จะซ้ำรอยปรากฎการณ์ในปี 2024 อีกหรือไม่ ที่เจอกับปัญหาภัยแล้งและฝนตกหนัก  ทำเอาผลผลิตกาแฟออกมาน้อยลง กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ส่งผลให้ราคากาแฟในตลาดทะยานปรู๊ดปร๊าดแบบไม่เกรงใจใคร จนทะลุเพดาน “สูงสุด” เป็นประวัติการณ์เมื่อเร็วๆนี้

ขณะที่สต๊อกกาแฟมีน้อยลง แต่ความต้องการกาแฟเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะจาก “จีน” ที่มีอัตราดื่มกาแฟสูงขึ้นจำนวนมหาศาล  หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อกาแฟดื่มในแต่ละวัน

เพื่อนร่วมสภากาแฟของผู้เขียน บ่นให้ฟังทุกครั้งเวลาเจอหน้ากันว่า กาแฟแพงขึ้นเรื่อยๆเลยนะ ทั้งๆที่เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี

สภาพอากาศที่แปรปรวนเอาแน่นอนไม่ได้ จะยังคงเป็นปัจจัยผลักดันให้ราคากาแฟปรับตัวขึ้นสูงอีกในปี 2025 ภาพ : Pexels from Pixabay

ผู้ได้แต่ตอบแบบตรงไปตรงมาว่า เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี กาแฟก็แพงขึ้นแน่ๆ ถ้าติดจนเลิกดื่มไม่ได้ ก็ทำใจได้เลย ราคาจะแพงลากยาวต่อไปอีกในปี 2025 มั่นใจว่าบริษัทผลิตราคากาแฟหลายรายจะโพสต์เฟสบุ๊คแจ้งต่อแฟนคลับ ขอ “ปรับขึ้นราคา” แน่นอน เพราะแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหวอีกต่อไป เผลอๆประกาศกันตั้งแต่ต้นปีเลยก็ได้

ในปี 2024 ราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดล่วงหน้าระหว่างประเทศ (ICE) พุ่งขึ้นไปแล้วมากกว่า 80% และทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 50 ปีไว้เมื่อต้นเดือนธันวาคม ในระดับราคา 3.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ ซึ่งขณะที่ผู้เขียนนั่งพิมพ์บทความอยู่นี้ ราคาขยับลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ 3.25 ดอลลาร์สหรัฐ

กาแฟอาราบิก้าซึ่งเป็นสายพันธุ์กาแฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ ครองสัดส่วนตลาดระหว่าง 60-70% ของตลาดกาแฟทั่วโลก เจอเข้ากับภาวะ “ภัยแล้ง” หนักๆในบราซิลที่เป็นผู้ผลิตกาแฟชนิดนี้รายใหญ่สุดของโลก ทำให้ตัวเลขการส่งออกกาแฟตกลงไปพอควร

กราฟฟิกแสดงการเคลื่อนไหวของราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดล่วงหน้าระหว่างประเทศ (ICE) ในรอบ 2 ปี ภาพ : ice.com

ขณะเดียวกัน ราคากาแฟโรบัสต้าในตลาดล่วงหน้า ICE  ก็ทะยานขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว มาทำสถิติสูงสุดไว้ที่ระดับ 5,694 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ก่อนขยับปรับตัวลงมาเล็กน้อยเหลือ 5,210-5,215 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม

โรบัสต้าเป็นกาแฟที่บริษัทกาแฟรายใหญ่ๆของโลกนำมาแปรรูปเป็นกาแฟผงสำเร็จรูปหรือที่หลายคนชอบเรียกกันว่ากาแฟอินสแตนท์  ด้วยสถานการณ์ต้นทุนเมล็ดกาแฟที่เพิ่มขึ้นจนแบกรับไม่ไหว “เนสท์เล่” (Nestlé) เจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ และเนสเพรสโซ ประกาศเตรียมปรับขึ้นราคากาแฟอินสแตนท์และกาแฟแคปซูลในเร็วๆนี้

บีบีซี สื่อยักษ์อังกฤษ รายงานข่าวว่า ทั้งเนสท์เล่ และ “ลาวาซซา” (Lavazza) สองเจ้าใหญ่ตลาดกาแฟโลก มาถึงจุดที่อั้นไม่ไหวกันแล้ว กำลังพิจารณาที่จะขึ้นราคากาแฟในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 นี้่

กราฟฟิกแสดงการเคลื่อนไหวของราคากาแฟโรบัสต้าในตลาดล่วงหน้าระหว่างประเทศ (ICE) ในรอบ 2 ปี ภาพ : ice.com

ส่วนสื่อใหญ่ของสหรัฐอย่างซีเอ็นบีซี ก็ไปโยนคำถามไปยัง “สตาร์บัคส์” (Starbucks) เกี่ยวกับราคากาแฟของร้านสาขาในอนาคต แต่เชนกาแฟใหญ่สุดในโลกปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

ก็นั่นแหละครับ หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่บรรดาผู้ผลิตกาแฟจะต้องส่งต่อภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค เพื่อลดผลกระทบของราคากาแฟที่สูงขึ้น เพราะถ้าซื้อมาสูง แต่ขายเท่าเดิม กำไรคงหายหมดเป็นแน่  นี่ผู้เขียนไม่ได้อวยพ่อค้ากาแฟนะครับ โลกของทุนนิยมก็เป็นเยี่ยงนี้เอง

บอกตามตรงเลยว่า ผู้เขียนออกจะเห็นด้วยกับ “มูลนิธิแฟร์เฟรด” (Fairtrade Foundation) องค์กรเอ็นจีโอในอังกฤษ ที่ออกมาพูดว่า ราคากาแฟที่พุ่งทำสถิติสูงสุด จริงๆแล้วเกษตรกรชาวไร่รายเล็กๆก็ไม่ได้ผลประโยชน์สักกี่มากน้อยหรอก

ภัยธรรมชาติทำให้สต๊อกกาแฟลดลง แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะจากจีนที่มีอัตราดื่มกาแฟสูงขึ้นมหาศาล ภาพ : Antoni Shkraba/pexels.com

อย่างที่ทราบกัน บราซิลนั้นครองตลาดการส่งออกกาแฟอาราบิก้ามาอย่างยาวนาน ขณะที่เวียดนามเป็นผู้นำด้านการส่งออกกาแฟโรบัสต้า พอสองเจ้าใหญ่นี้ประสบกับสถานการณ์โลกร้อนรุนแรง ส่งออกได้น้อยลง ก็ทำเอาโลกกาแฟ “ปั่นป่วน” ไปตามๆกัน

ภัยแล้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 70 ปีในช่วงไตรมาสที่ 3 ตามมาด้วยฝนตกหนักในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 เจอหนักๆเข้าไปสองรอบ ส่งผลให้เกิดความกังวลกันไปทั่วว่า ผลผลิตกาแฟของบราซิลจะลดลงในปี 2025

เมื่อไม่นานมานี้ “โวลคาเฟ่” (Volcafe) ผู้ค้ากาแฟรายใหญ่ ได้ปรับลดประมาณการผลผลิตกาแฟอาราบิก้าของบราซิลในปี 2025/26 เหลือ 34.4 ล้านกระสอบ (60 กิโลกรัม/กระสอบ) ลดลงราว 11 ล้านกระสอบ จากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือนกันยายน

ผลจากการผลิตที่มีแนวโน้มลดลงของบราซิล ทำให้โวลคาเฟ่คาดการณ์ว่าผลผลิตกาแฟอาราบิก้าทั่วโลกจะหดหายไปประมาณ 8.5 ล้านกระสอบ ในฤดูเก็บเกี่ยว 2025/26 สูงกว่าตัวเลขที่ลดลงไป 5.5 ล้านกระสอบ ในปี 2024/25 และถือเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่การผลิตกาแฟอาราบิก้าออกมาลดต่ำลง

ในปี 2024 สองผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อย่างบราซิลและเวียดนาม โดนผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนทั้งภัยแล้งรุนแรงและฝนตกหนัก ภาพ : Leonel Barreto from Pixabay

ในเวียดนามซึ่งผลิตกาแฟโรบัสต้าป้อนตลาดโลกประมาณ 40% มีปัญหาภัยแล้งแรงๆในช่วงต้นปี พอตกถึงเดือนตุลาคมก็เผชิญกับพายุฝนกระหน่ำซ้ำเข้าอีก นี่ยังไม่นับรวมสถานการณ์ที่เกษตรจำนวนหนึ่งเลิกทำไร่กาแฟ หันไปปลูก “ทุเรียน” แทนเพื่อส่งออกไปยังจีน ก็แม้ราคากาแฟจะสูงขึ้นมาโดยตลอด แต่ยังต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับราคาทุเรียน

ไม่เพียงแต่ผู้ผลิตรายบิ๊กๆอย่างบราซิลและเวียดนามเท่านั้นที่เผชิญกับสภาวะโลกร้อน เอาเข้าจริงๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาภัยแล้ง, น้ำค้างแข็ง, ฝนตกหนัก,น้ำท่วม, อุณหภูมิสูง และสภาพอากาศที่ไม่อาจคาดเดาได้ ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลผลิตกาแฟตกลงในแหล่งปลูกอื่นๆ เช่น โคลอมเบีย, อินโดนีเซีย และเอธิโอเปีย

ผู้เขียนชงกาแฟดื่มทุกวันมานานกว่า 20 ปีแล้ว จากประสบการณ์ส่วนตัวสรุปได้เลยว่า ราคากาแฟจะไม่สูงขึ้น ก็ต่อเมื่อผลผลิตมีมากขึ้นและสต็อกกาแฟถูกเติมเต็มเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่สมการ “ดีมานด์” กับ “ซัพพลาย” จะมาถึงจุดสมดุลลงตัวอีกครั้ง

อาจไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ได้นะ ถ้าสภาวะอากาศยังแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้เยี่ยงทุกวันนี้

บีบีซี สื่อยักษ์อังกฤษ รายงานข่าวว่า เนสท์เล่ และลาวาซซา สองเจ้าใหญ่ตลาดกาแฟโลก เล็งขึ้นราคากาแฟในไตรมาสแรกปี 2025 ภาพ : Charlie Waradee

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “ไคลเมต เชนจ์” นี่แหละที่เป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการผลักดันให้ราคากาแฟในตลาดโลกพุ่งทะยานลิ่ว เนื่องจากการผลิตลดลง สวนทางกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แถมราคาก็ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลงเสียด้วยซ้ำ  เพราะปัจจุบันความปรวนแปนรุนแรงของสภาพอากาศล้วนแต่คาดเดาอะไรล่วงหน้าไม่ได้เลย

หากยังหาทางออกให้กับสถานการณนี้ไม่ได้ ก็น่า “หนักใจ”มากๆครับสำหรับผู้ผลิตและผู้บริโภคในโลกของกาแฟ แล้วกาแฟก็เป็นพืชที่มีความเปราะบางต่อภัยธรรมชาติอย่างยิ่งเสียด้วย

การทดลองปลูกพืชกาแฟใหม่ๆที่มีภูมิต้านทานภัยธรรมชาติซึ่งเพิ่งทำกันมา 2-3 ปีแล้วในประเทศต่างๆ กว่าจะออกดอกออกผลและผลิตกันในปริมาณมากๆ ก็คงเป็นเรื่องในระยะยาว

กาแฟที่คุณดื่มทุกๆแก้วในแต่ละวัน จึงมีแนวโน้มแพงขึ้นต่อไปในปี 2025  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนแปรปรวนขึ้นในทุกๆวันนั่นเอง


facebook : CoffeebyBluehill

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *