เจาะลึกอุตสาหกรรมสิ่งทอกับโอกาส ‘แฟชั่นไทย’ บนเส้นทาง ITB Berlin 2025

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีภารกิจเดินทางเยือนกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 3-8 มีนาคม 2568 เพื่อเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 ณ กรุงเบอร์ลิน โปรโมทการท่องเที่ยว และพบปะนักธุรกิจชั้นนำทางอุตสาหกรรมด้านต่างๆ โดยหนึ่งในนั้น คือ อุตสาหกรรมด้านแฟชั่น

นี่จึงเป็นโอกาสดีในการขับเคลื่อนนโยบายผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง นั่นเพราะอุตสาหกรรมแฟชั่น มีรายได้สูงถึง 3.9 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกสินค้าแฟชั่นถึง 2 แสนล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานราว 7.5 แสนคน

ดร.วุฒิไกร ศิริผล อาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เสนอว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ควรใช้โอกาสนี้ในการหากลุ่มตลาดที่มีความสนใจในสินค้าแฟชั่น และศึกษาถึงความต้องการเฉพาะ หรือเทรนด์ที่ตลาดกลุ่มนั้นๆ ให้ความนิยม เพื่อนำข้อมูลกลับมาเผยแพร่ให้กับผู้ประกอบการแฟชั่นไทย ให้ดำเนินการส่งออกสินค้าที่สอดคล้อง และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ไม่เพียงเท่านั้น นายกรัฐมนตรี ควรมองหาความร่วมมือทางด้านการค้า ในลักษณะของการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการในประเทศเยอรมัน หรือประเทศอื่นๆ ให้ร่วมมือกับผู้ประกอบการไทย สำหรับการผลิตและจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เพราะประเทศเหล่านี้ ล้วนมีต้นทุนองค์ความรู้ทั้งด้านการออกแบบดีไซน์ การใช้เทคโนโลยี รวมไปถึงความพร้อมด้านเครื่องจักรกล ที่ผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อย ต้องพึ่งพาและนำเข้ามาจากประเทศเยอรมันเช่นกัน ต้นทุนความรู้เหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับมาตรฐานวงการแฟชั่นไทยให้ก้าวหน้า

ดร.วุฒิไกร ชวนย้อนมองกลับไปยังบริบทของอุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่นไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เคยมีจุดแข็ง จากการเป็นฐานโรงงานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค และร่วมทุนกับต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น ใต้หวัน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ฯลฯ เพราะประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านฝีมือแรงงาน และค่าแรงที่เหมาะสมแก่การลงทุน จนกลายเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ กระทั่งในปี 2546 นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยในเวลานั้น ได้มีโครงการ ‘กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น’ ใช้งบประมาณ 1.8 พันล้านบาท หวังให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) กลายเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในระดับภูมิภาค และยกระดับไปสู่ระดับโลก

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเพียงภาพฝัน ก่อนที่รัฐบาลของนายทักษิณ จะสิ้นสุดลงจากการรัฐประหาร และก่อนที่บริษัทข้ามชาติต่างๆ จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีปัจจัยด้านค่าแรงถูกกว่าประเทศไทย อย่างประเทศเวียดนาม ฯลฯ นั่นส่งผลให้มูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ จำนวนกว่า 6 แสนล้านบาท ในปี 2549 เหลือเพียงราว 1.6 แสนล้านบาท ในปี 2566 และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญกับการผลักดันอุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่นไทย ผ่านนโยบายซอฟต์พาวเวอร์

อัตลักษณ์ความเป็นไทย ที่กำลังสอดรับกับกระแสแฟชั่นโลก

ดร.วุฒิไกร ยังให้ภาพต่อไปอีกว่า เทรนด์แฟชั่นของโลกในเวลานี้ คงหนีไม่พ้นกับให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Sustainability) ภายหลังจากการที่สังคมโลกได้ตระหนักว่า อุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) หรือแฟชั่นด่วน ที่เน้นการผลิตเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วและต้นทุนในการผลิตต่ำ ทำให้เสื้อผ้าเหล่านี้มีราคาไม่แพง เข้าถึงได้ง่าย และมักเป็นแฟชั่นกระแสสั้น ๆ เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยตามความนิยม อุตสาหกรรมลักษณะนี้ ได้สร้างผลกระทบด้านมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมโลกมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และได้ดึงเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะทรัพยากรน้ำ เป็นจำนวนมากเพื่อป้อนวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต

นอกจากนี้ การจะทำให้สินค้าฟาสต์แฟชั่น มีราคาที่ถูกลงได้ ส่วนหนึ่งย่อมต้องมาจากการลดต้นทุนในการผลิต บริษัทข้ามชาติต่างๆจึงต้องไปสร้างโรงงานในประเทศที่มีค่าแรงต่ำ และตอกย้ำด้วยการกดค่าแรงของลูกจ้างให้ต่ำที่สุด บวกกับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน รวมไปถึงการใช้แรงงานเด็ก ทั้งยังไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงาน เหล่านี้คือผลพวงที่ทำให้เทรนด์แฟชั่นของโลก ได้กลับมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนด้วย

เมื่อมองกลับมายังประเทศไทย ดร.วุฒิไกร ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า นักวิชาการจากประเทศอังกฤษ และฟินแลนด์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากที่จะตอบโจทย์เทรนด์แฟชั่นของโลกสมัยใหม่เรื่อง Sustainability เพราะมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพวกงานหัตถกรรมเสื้อผ้าที่เป็นงานคราฟต์ มีการใช้เส้นใยผ้าแบบรีไซเคิล (Recycle) การย้อมสีเสื้อผ้าที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติ

ด้วยเหตุที่ต้นทุนทางด้านงานหัตถกรรมเหล่านี้ยังคงเหลืออยู่ในประเทศไทย ขณะที่ในโซนยุโรป หรือสแกนดิเนเวีย ได้ค่อยๆเลือนหายไปแล้ว ส่วนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมโรงงาน ก็มีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสวัสดิภาพแรงงาน ไม่มีข่าวละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับโรงงานในบางประเทศ สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นจุดแข็ง ของวงการอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอของประเทศไทย

“ไทยจึงไม่สามารถแข่งกับโลกด้วยจุดขายเรื่องการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำอีกแล้ว จึงต้องนำเอาเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา ศิลปะวัฒนธรรมของความเป็นไทยไปสู้ แล้วนำมาปรุงให้มีความเป็นโมเดิร์นร่วมสมัย เหมือนแฟชั่นฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฯลฯ เปรียบเสมือนอาหารไทย ที่นำไปปรุงให้ฝรั่งกินได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมีจุดขายเรื่องดีไซน์ การออกแบบ ที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง ฟังแล้วก็อาจจะดูเหมือน Cliche (สำนวนซ้ำๆซากๆ) สักหน่อย แต่คนในอุตสาหกรรมเขาก็มองภาพแบบนี้เหมือนกันจริงๆ ว่าในแง่ของครีเอทีฟ ต้นทุนของเรามันมาแบบนี้ และเป็นต้นทุนที่คนอื่นไม่มี” ดร.วุฒิไกร กล่าว

แนะรัฐบาลมองทุกระดับ เน้นส่งเสริมตลอดห่วงโซ่สิ่งทอ

ด้วยบริบทการผลิตแฟชั่นสิ่งทอของประเทศไทยมีจุดแข็งทั้ง 3 ประเภท คือ ประเภทหัตถกรรม หรือที่ เรียกว่างานคราฟต์ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง (SMEs) และประเภทอุตสาหกรรมโรงงาน ดร.วุฒิไกร จึงมีข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาต่อทั้ง 3 ประเภทในรูปแบบที่แตกต่างกัน

สำหรับประเภทหัตถกรรม ดร.วุฒิไกร กล่าวว่า หากจะส่งเสริมงานคราฟต์ให้ไปสู่ตลาดโลก รัฐบาลควรมองหากลุ่มตลาดในประเทศต่างๆ และศึกษาความต้องการเฉพาะว่าต้องการการดีไซน์ ประเภทเนื้อผ้า ฯลฯ แบบใด กล่าวกันอย่างถึงที่สุด รูปแบบการดีไซน์ของผ้าไทยในทุกวันนี้ ยังไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มประเทศในตะวันตกจะให้ความนิยมมากนัก จึงต้องมีการเรียนรู้ ศึกษา เพื่อปรับรสชาติ ‘ให้ถูกปากฝรั่ง’ มากยิ่งขึ้น หากผลักดันเรื่องนี้ได้สำเร็จ ก่อจะก่อให้เกิดการค้าที่กระจายรายได้ไปสู่ประชาชนในทุกภูมิภาค เพราะงานประเภทหัตถกรรมมีต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงนัก จึงทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการเป็นเจ้าของกิจการได้

สำหรับกลุ่ม SMEs ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เน้นขายดีไซน์ มีจุดเด่นด้านสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม เน้นสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์แฟชั่น รัฐบาลควรส่งเสริมให้กลุ่มนี้เข้าถึงตลาดและการลงทุนได้มากขึ้น เพราะมีสินค้าที่อยู่ในช่วงกลาง-สูง สร้างมูลค่าเพิ่มได้ดี และมีโอกาสในการเติบโตมาก แต่ยังมีขนาดเล็ก และยังไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าใดนัก

ขณะที่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม สิ่งที่รัฐบาลควรสนับสนุน คือ การส่งเสริมเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่จะทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนก็ต่ำลง ต่อมาคือการส่งเสริมเรื่ององค์ความรู้ในการออกแบบ ดีไซน์ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า เพราะมีผู้ประกอบการโรงงานไทยจำนวนน้อยมากในตอนนี้ ที่จะจ้างดีไซน์เนอร์ออกแบบเสื้อผ้าเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้คือการส่งเสริมเรื่องการนำเข้า-ส่งออก ที่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการลดต้นทุน การลดหย่อนภาษี หรืออื่นๆ ฯลฯ

ดร.วุฒิไกร กล่าวต่อไปอีกว่า การส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอ ต้องส่งเสริมอย่างเป็นองค์รวม ครบวงจรตลอดทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพราะอุตสาหกรรมนี้มีสายพานของกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างยาว เริ่มตั้งแต่การผลิตเส้นใย อาทิเช่น เราสามารถผลิตเส้นใยในประเทศได้แค่ไหน เพราะทุกวันนี้เรากำลังประสบปัญหาจากการผลิตเส้นไหม ไม่เพียงพอกับใช้งานภายในประเทศ และซ้ำเติมด้วยผลกระทบจากโลกร้อนทำให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมยากขึ้น

รวมไปจนกระทั่ง การที่เรามีโรงงานที่นำเส้นใยมาพัฒนาเป็นเส้นด้าย ภาครัฐได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตได้อย่างมีคุณภาพที่สูงขึ้นได้หรือไม่ เรื่องการตัดเย็บหรือแปรรูปจากผ้าให้กลายเป็นเสื้อผ้าให้มูลค่าเพิ่มอย่างไร ภาครัฐต้องไปส่งเสริมเรื่องเทคโนโลยี เรื่องการดีไซน์ เรื่องการลงทุน เรื่องการตลาด ฯลฯ ให้ครบวงจร

“อาจจะด่วนให้ความเห็นเร็วเกินไป แต่ส่วนตัวมองว่า ตอนนี้ภาพรวมการส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่น อาจจะยังแทรกซึมไปลงไม่ถึงทั้งกระบวนการ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในระดับที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจจะเห็นเป็นเพียงภาพของการส่งเสริมเป็นส่วนย่อย เช่น กรณีข่าว นาโอมิ นางแบบระดับโลก ที่จะช่วยยกระดับนางแบบไทยสู่เวทีโลก ที่มองมุมหนึ่งก็เป็นความพยายามส่งเสริมแฟชั่น แต่ในอีกมุม ก็ยังมีคนอีกหลายหมื่นคนในอุตสาหกรรมนี้อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร” ดร.วุฒิไกร กล่าวสรุปในตอนท้าย


 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *