ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีสุดโหด กระทบธุรกิจกาแฟไทยไหม?

ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่งทำไร่กาแฟ ตั้งคำถามมาว่า กรณีสหรัฐอเมริกาโดยนายโดนัล์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสมัย 2 เปิดสงครามการค้า ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าอย่างสุดโหดเอากับหลายประเทศ โดยประเทศไทย โดนเก็บเพิมขึ้นในอัตรา 36% จะมีผลกระทบต่อการส่งออกกาแฟไทยหรือไม่?

มีแน่นอนครับ เพราะไทยก็ส่งออกกาแฟไปตลาดสหรัฐเช่นกัน ส่งออกเป็นอันดับที่ 68 สัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกโดยรวม มีมูลค่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี นี่เป็นตัวเลขจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

สินค้าส่งออกในรูปกาแฟของไทยไปสหรัฐ แทบทั้งหมดเป็น green bean ภาษาราชการเรียกกาแฟดิบ ภาษาภาคเอกชนเรียกสารกาแฟ

แล้วจะกระทบมากน้อยขนาดไหน?

ตอบยากครับ ผมไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์ หรือทำงานกระทรวงพาณิชย์ แต่เมื่อถามมา ก็จะพยายามลองตอบดู อาศัยพื้นฐานจากอาชีพเดิมที่เคยผ่านงานข่าวด้านเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาหลายสิบปีก็แล้วกัน

ประเด็นจะกระทบมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ผลการเจรจาต้าอวยระหว่างผู้นำสองประเทศ, การแข่งขันด้านราคาหลังการขึ้นภาษีที่เห็นว่ามีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนนี้ และการปรับตัวของธุรกิจไทย

เอาเฉพาะหมวดกาแฟนะครับ แม้ไทยโดนเก็บภาษีเพิ่ม แต่หลายประเทศที่เป็นคู่แข่ง ก็โดนภาษีไปพร้อมๆกัน แต่ไม่เท่าเทียมกัน ต้องแยกไปดูรายประเทศว่าใครโดนมากโดนน้อยกว่ากันขนาดไหน ตามแหล่งปลูกกาแฟที่ส่งออกกาแฟไปตลาดสหรัฐ เช่น โคลัมเบีย, บราซิล, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, เม็กซิโก, นิคารากัว, เวียดนาม และอินโดนีเซีย

แต่อย่างที่บอก ถึงไทยส่งออกกาแฟไปสหรัฐมีมูลค่าน้อยมาก แต่ก็เป็นธุรกิจของคนไทย ไม่มีใครอยากให้โดนกระทบ ไม่ว่ารายใหญ่หรือเล็กๆ

ผลกระทบต่อตลาดกาแฟภายในประเทศไทยละ มีไหม?

ประเทศไทยผลิตกาแฟได้ก็จริงตัวเลขกลมๆ ราว 30,000 ต้นต่อปี แต่การบริโภคปาเข้าไป 90,000 ตัน ต้องมีการนำเข้ามาเสริมอีก 60,000 ตัน ถ้าประเทศที่เรานำเข้าเมล็ดกาแฟดิบมากๆ เช่น เวียดนาม,อินโดนีเซีย และลาว ไม่ขึ้นภาษีสินค้าเหมือนสหรัฐ เราก็ยังไม่เดือดร้อน

แต่ที่เดือดร้อนยิ่งกว่าเพราะทำให้บางคนโบกมือหยอยๆ เลิกดื่มกาแฟไปแล้ว ก็คือ ราคากาแฟตลาดโลกที่ขึ้นเอาๆแบบไม่เกรงใจใคร ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษี แต่เป็นผลจากซัพพลายเชนหรือห่วงโซ่อุปทานที่ผลผลิตลดลงแต่การบริโภคเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศผู้ส่งกาแฟรายใหญ่ของโลกอย่างบราซิลและเวียดนาม ประสบปัญหาภัยธรรมชาติหนักๆแรงๆในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

การเจรจาต่อรองโดยฝ่ายรัฐบาลไทย ช่วยลดผลกระทบได้ไหม?
ก็อย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศไว้ อัตราการขึ้นภาษีของแต่ละประเทศ สามารถต่อรองกันได้แบบยื่นหมูยื่นแมว นั่นหมายความว่า รัฐบาลไทยต้องมีอะไรไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้นายทรัมป์มีความรู้สึกว่าสหรัฐได้ประโยชน์มากกว่า เช่น นายทรัมป์อาจ…

– ขอให้ไทยเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าบางประเภทมากขึ้น
– ขอให้ไทยลดภาษีสินค้านำเข้าบางรายการให้กับสหรัฐ
– ขอให้ลดเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าของสหรัฐ ฯลฯ

แน่นอนว่าสินค้าส่งออกตัวนั้นอาจได้เปรียบ แต่ตัวนี้อาจเสียเปรียบ บางคนอาจมองว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีคอนเน็กชั่นกับรัฐบาลมากน้อยขนาดไหน แต่ผู้เขียนเห็นว่า หากเป็นรัฐบาลดีมีคุณธรรม จะตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมเป็นพื้นฐาน เช่น สินค้าตัวไหนสำคัญที่สุด ไม่อยากให้มีผลกระทบกระเทือนหนักๆ

ในประเด็นนี้ ธุรกิจผลิตกาแฟไทยอาจจะเจอแจ็คพอตเข้าให้ก็ได้ หากว่าผู้นำต้องการให้ไทยเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าบางประเภทมากขึ้น เช่น กาแฟ ที่ไทยมีการกำหนดโควต้านำเข้าในแต่ละปี

ถ้าเป็นสินค้ากาแฟ ผู้ผลิตสหรัฐจะส่งอะไรมาขายในตลาดไทยได้บ้าง

สหรัฐไม่ใช่แหล่งปลูกกาแฟ แม้แถวรัฐฮาวายและฟลอริด้า ก็ทำไร่กาแฟกันอยู่ทว่าผลผลิตมีน้อยนิด แต่สินค้าที่สหรัฐมีความพร้อมมากๆ ก็คือ กาแฟผงสำเร็จรูป, เมล็ดกาแฟคั่วทุกระดับตั้งแต่ตลาดแมสยันสเปเชียลตี้ ,กาแฟพร้อมดื่ม หรือ Ready to drink และอุปกรณ์ชงกาแฟพ่วงเอสเซสเซอรี่ต่างๆ ก็อาจพาเหรดเรียงแถวเข้ามาขายในตลาดกาแฟไทยในราคาที่แข่งขันได้

ผู้ผลิตในประเทศอาจไม่ชอบใจ เพราะอยู่ดีๆก็มีคู่แข่งเพิ่ม เพราะในประเทศก็แข่งดุกันอยู่แล้ว แต่ฝั่งผู้บริโภค ก็อาจได้ประโยชน์จากความหลากหลายของสินค้าที่มีตัวเลือกมากขึ้น ส่วนราคาและคุณภาพจะสู้ของไทยได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ในประเทศสหรัฐอเมริกา คนชังโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มาก คนชอบก็เยอะ ไม่งั้นคงไม่ได้ย้อนกลับมาเป็นเพรสซิเดนส์สมัย 2 หรอก จริงไหมครับ

หลายธุรกิจที่ยืนอยู่ฝั่งทรัมป์ ก็อยู่เป็น หยิบเอาภาพ”ผู้นำขวาจัดสุดซอย”ไปทำการตลาดขายสินค้าให้กองเชียร์ก็ไม่น้อย

อย่างในภาพเป็นโรงคั่วกาแฟในรัฐฟลอริด้าทำเมล็ดกาแฟคั่วซีรีส์ทรัมป์หลายตัวทีเดียว ที่ขำหนักมากก็เห็นจะเป็นซีรีส์ “Leftist Tears” หรือน้ำตาฝ่ายซ้าย ช่างจิกกัดดีจริงๆ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะชอบหรือชังผู้นำขวาสุดซอย นับจากนี้ไปคนอเมริกันคงไม่เอ็นจอย เพราะต้องจ่ายค่ากาแฟรายวันเพิ่มขึ้นแน่นอน หลังผู้นำสหรัฐได้ตั้งกำแพงภาษีเอากับหลายประเทศที่เป็นแหล่งผลิตกาแฟรายใหญ่ทั้ง บราซิล,เวียดนาม,โคลอมเบีย,คอสตาริก้า และอินโดนีเซีย รวมไปถึงไทยเราด้วย

ภาระต้นทุนในธุรกิจกาแฟจะพุ่งขึ้น ไล่เรียงไปตั้งแค่คนนำเข้า,โรงคั่วกาแฟ,ร้านกาแฟ จนถึงปลายทางอย่างผู้บริโภค

โรงคั่วกาแฟอเมริกันนำเข้าโรบัสต้าจากเวียดนามเยอะ ถ้ายังเจอภาษีโหดๆ 46% ก็คงรับไม่ไหว ต้องปรับเป้าใหม่ไปที่บราซิลที่โดนภาษีไปเบาะๆ 10% แต่แซมบ้าก็ผลิตโรบัสต้าน้อย มีอาราบิก้าเยอะ คิดแล้วชวนปวดหมองแทนจริงๆ ไหนจะต้องแย่งชิงกับสต๊อกเมล็ดกาแฟกับโรงคั่วทางฝั่งยุโรปและจีนอีก

นี่เป็นสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่รู้จะออกมารูปไหน ขึ้นอยู่กับผลการเจรจายื่นหมูยื่นแมวกัน

ผู้เขียนไม่อยากคิดเลยว่าราคากาแฟในตลาดโลกจะแพงขึ้นไปอีก แต่ก็ทำใจรับสภาพไว้ล่วงหน้าแล้วครับ


facebook : CoffeebyBluehill

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *