ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว อันเนื่องมาจากสงครามการค้า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นคนตัวเล็กจะได้รับผลกระทบที่เกิดจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เกือบจะ 95%
ดังนั้น การจะทำให้ธุรกิจปลอดภัยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักการเตรียมการไว้ก่อน มงคล ลีลาธรรม อดีตซีอีโอ SME Development Bank กล่าวว่า บางครั้งวิกฤติก็เป็นโอกาส ถ้าเราเตรียมการไว้เสมือนหนึ่งเตรียมกระสุนไว้ให้เยอะ ก็จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ แล้วอาจใช้โอกาสช่วงนี้ ตั้งหลักปักฐานชีวิต หรือทำธุรกิจให้ร่ำรวย เพราะโอกาสนี้จะมีคนที่แย่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ถึง 95% เพราะฉะนั้นถ้าเตรียมการไว้ 5% นั้นก็รอด แล้วไม่ใช่การรอดแบบธรรมดา แต่อาจเป็นการผงาดขึ้นมา วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มีคนที่ผงาดขึ้นมาหลายคนเลย
แต่การจะรอดจากวิกฤติได้จะต้องมีความอดทน ซึ่งการจะอดทนได้ก็ต้องมีน้ำเลี้ยง หรือที่เรียกว่า”มีสภาพคล่องทางการเงิน” ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ใครที่มีเงินสดเหลืออยู่เยอะก็จะได้กว่าเปรียบคนอื่น
มงคล กล่าวว่า เศรษฐกิจที่มีความผันผวน สิ่งแรกที่เราควบคุมไม่ได้ก็คืออัตราแลกเปลี่ยน วันนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 30.58 บาทต่อดอลลาร์ หลายคนพูดว่าถ้ารัฐบาลหรือธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ดำเนินการหรือมีนโยบายใดๆ อาจเห็นค่าเงินบาทกลับมาอยู่ที่ 28-29 บาทต่อดอลลาร์
เพราะสิ้นปีนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ของโลก คือประเทศอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป หรือ อียู แล้วคาดว่าค่าเงินปอนด์จะต่ำกว่าค่าเงินยูโร จากปกติเงินปอนด์จะสูงกว่าเงินยูโร เมื่อก่อนเงินยูโร 40 กว่าบาท เงินปอนด์ 50 กว่าบาท แต่วันนี้ค่าเงินอียูเกือบจะเท่ากับค่าเงินปอนด์ ซึ่งจะมีผลจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอีก
ค่าเงินบาทแข็งก็จะทำให้มีบางคนได้โอกาส โดยเฉพาะคนที่นำเข้าจากต่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะลดลง เพราะเงินไหลเข้ามาประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ธนาคารก็จะเข้มงวดไม่ปล่อยกู้ จะปล่อยสินเชื่อให้เฉพาะคนที่แข็งแรงเท่านั้น เป็นระบบที่คนแข็งแรงเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้
ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ธนาคารเข้มงวดเรื่องสินเชื่อที่ดอกเบี้ยลงมาต่ำ ก็เป็นโอกาสของหลายคนที่จะมีเงินสดอยู่ในมือ จะซื้อของถูก เช่น วัสดุก่อสร้าง ที่ดินก็อาจถูกลง ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ ค่าเงินจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพราะดอกเบี้ยลดลง เงินเฟ้อลดลง
นอกจากนี้ เรื่องภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้งแล้วเกิดน้ำท่วม ก็ทำให้คนไม่มีความรู้สึกที่อยากจับจ่ายใช้สอย เพราะฉะนั้นการใช้จ่ายของภาครัฐ หรือภาคเอกชนโดยรวม ก็จะถูกผลกระทบมาก ขณะที่รัฐบาลเพิ่งจะเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา กว่าจะผ่านกระบวนการและเงินไปถึงชาวบ้านได้ก็ราวเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ดังนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าสภาพคล่องหรือเงินสดในมือมีความสำคัญมาก โดยทั่วไปบริษัทที่มีภูมิคุ้มกัน จะต้องมีเงินสดเหลืออยู่ประมาณ 30% ส่วนมนุษย์เงินเดือนทั่วไปจะต้องมีเงินออมทรัพย์ใช้จ่าย 6 เดือน ถึงจะปลอดภัย เพราะเราอาจตกงาน เจ็บป่วยไม่สบาย หรือใช้เงินฉุกเฉิน
ธุรกิจจะต้องมีเงิน 30% เก็บไว้เป็นเงินสภาพคล่อง หรือวงเงินเครดิตเพื่อสำรองไว้ เนื่องจากยอดขายลดลง เพราะกำลังซื้อตกลง แต่ค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม และสิ่งที่น่ากลัวที่จะตามมาหลังเศรษฐกิจมีความผันผวนคือ”ระบบเครดิต” ที่เดิมเจ้าหนี้ให้เครดิต 120 วัน ก็อาจให้แค่ 90 วัน เพราะเขาก็ขาดเงินเหมือนกัน เขาก็ต้องเรียกคืนหนี้ หรือลูกหนี้ของเรา จากเดิมจ่าย 120 วัน ก็ขอขยายเวลาจ่าย เพราะเขาก็ถูกขยายเวลาเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเงินสำรองที่เป็นเงินสดเก็บไว้ หรือเครดิตที่สำรองไว้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์แบบนี้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ต้องติดตามรับฟังข่าวสารเยอะๆ เพื่อทำให้ธุรกิจของเราปลอดภัย ถ้ามีเงินอย่างเดียวแต่ไม่มีความรู้ เราก็จะประเมินสถานการณ์ไม่ออก ใครที่ทำนายอนาคตแม่นก็รวยกันทุกคน
มงคล กล่าวว่า เวลาที่เราเจอสถานการณ์ไม่ดี สิ่งสำคัญคือ เราต้องแข็งแรง ต้องมีการเตรียมการ เราต้องมีเงินสด มีสภาพคล่อง นี่คือหัวใจหลัก ที่สำคัญคืออารมณ์ ทัศนคติ ต้องมองเรื่องต่างๆ ให้เป็นบวก มีกัลยาณมิตร อยู่ในที่ที่ควรอยู่ เราก็จะปลอดภัย
ส่วนเรื่องของสินค้า เราต้องถือโอกาสทบทวนในช่วงที่ตลาดผันผวน ซึ่งอยากให้ทบทวน 2 แนวทาง 4 เป้าหมาย โดยต้องพิจารณา 2 มิติ มิติแรกคือตลาดเดิม กับตลาดใหม่ ซึ่งหมายถึงกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ แล้วอีกมิติหนึ่งที่มีความสำคัญมากคือผลิตภัณฑ์เดิมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เมื่อเอา 2 มิติมารวมกัน คือ 4 เป้าหมายดังนี้ ตลาดเดิมลูกค้าเดิม, ตลาดเดิมลูกค้าใหม่, ตลาดใหม่ลูกค้าเดิม และตลาดใหม่ลูกค้าใหม่
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ”รองเท้าผ้าใบ” ทุกจะเห็นว่าทุกคนจะสร้างลูกค้าใหม่อยู่ตลอด โดยหานักออกแบบที่เป็นนักกีฬา หรือดารานักร้อง หรือคนที่มาทำแฟชั่นมาออกแบบตัวรองเท้าใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ สังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย ดังนั้น เราต้องมา ทบทวนผลิตภัณฑ์ ความจริงแล้ววัยรุ่นนั้นตลาดไม่ใหญ่มาก มีจำนวนน้อยกว่าผู้สูงอายุ โดยเหลืออยู่กว่า 10% ของโครงสร้างอายุ แต่คนเหล่านี้มีกำลังซื้อ เพราะพ่อแม่เป็นคนจ่าย ดังนั้นจะเห็นว่ารองเท้าผ้าใบจะขายแพงขึ้น เพราะเป็นการแสดงถึงสถานะอย่างหนึ่ง
เราต้องมาทบทวนผลิตภัณฑ์ เพราะสังคมเปลี่ยนไป อดีตและปัจจุบันไม่สำคัญเท่าอนาคต วันนี้ ต้องชักจูงเอสเอ็มอี คนตัวเล็กให้มองไปข้างหน้าให้มาก ให้มองว่าตลาดเราจะเล็กลงหรือไม่ แล้วอะไรที่เป็นตลาดใหม่ที่เราควรเข้าไปหาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกลุ่มตลาดใหม่ วันนี้ต้องแสวงหาตลาดใหม่ กลุ่มลูกค้าใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะออกได้ก็ต้องมีนวัตกรรม
มงคล กล่าวว่า มีผลงานวิจัยของต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยว่า มีคนที่รู้ว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลง 80% แต่คนที่เตรียมการสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตมีแค่ 7% ซึ่ง 93% ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งมีความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงนั้นหมายความว่าจะต้องมีทรัพยากรคือมีเงินทุนเตรียมไว้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการเตรียมการเรื่องทุนกับความรู้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
“คนส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินออม ไม่มีเงินสำรอง และกลัวว่าพอเปลี่ยนแล้วยอดขายลดลงจะทำอย่างไร ซึ่งความจริงวันนี้ถึงไม่เปลี่ยน ยอดขายก็ลดลงอยู่แล้ว ดังนั้น ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ถ้าไม่ตัดใจตั้งแต่วันที่คุณมีสุขภาพดี คุณก็จะอยู่รอดยาก”
มงคล กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงที่ใช้นวัตกรรมนั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินเยอะ แต่อยู่ที่สมอง และการปรับปรุงจากสิ่งที่มีอยู่ มีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างดี หรือถ้าใครไม่อยากเสี่ยงก็ใช้กลุ่มลูกค้าเดิม แต่ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไปตอบโจทย์ลูกค้าเดิม หรือเอาสินค้าเดิมไปขายตลาดใหม่ เช่น ตลาดเพื่อนบ้าน เห็นจากคนที่ไปบุก 100 คน ก็ประสบความสำเร็จมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและอดทน เพราะตอนแรกอาจขายได้น้อย ก็ต้องอดทน และนำประสบการณ์ที่ขายไม่ได้ไปปรับปรุงและทบทวน
มงคลยังอธิบายให้เอสเอ็มอีเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบทวีคูณ
“ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงแค่ 10 ขั้นบันได คุณก็สามารถเติบโตได้ถึงพันเท่าจากเดิมที่เคยมีอยู่ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 และจาก 16 เป็น 32 ภายใน 5 บันไดขั้นแรก แต่ 5 บันไดขั้นหลัง คุณจะเติบโตพันเท่า เพราะจาก 32 เป็น 64 จาก 64 เป็น 128 จาก 128 เป็น 256 จาก 256 เป็น 512 และจาก 512 เป็น 1,024 เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แบบทวีคูณ ซึ่งนอกจากทำให้ธุรกิจปลอดภัยแล้ว คุณจะแข็งแรงขึ้น”