การทำธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัว และต้องพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
อยุทธ์ เตชะสุกิจ ผู้อำนวยการศูนย์เพิ่มมูลค่าผลผลิตและการออกแบบผลิตภัณฑ์ SMEs สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ISMED กล่าวว่า สิ่งที่ ISMED มองไปข้างหน้าคือทุกคนคงต้องปรับเปลี่ยน แต่จะมากหรือน้อยอยู่ที่ระดับความพร้อมของธุรกิจ ซึ่งระดับที่ไปได้มากที่สุดคือการปรับ หรือพลิกโมเดลธุรกิจไปเลย เพราะการทรานส์ฟอร์มยังก้ำกึ่งระหว่างเก่ากับใหม่ แต่ดิสรัปต์คือล้มกระดานไปเลย อาจเป็นธุรกิจแนวเดิมที่ทำแต่ด้วยโซลูชั่นใหม่ๆ หรือ อาจต้องกระโดดก้าวไปทำธุรกิจอื่นเลย
ตอนนี้ทุกอย่างเข้าไปอยู่ในสมาร์ทโฟน ทำให้ธุรกิจหลายอย่างถูกดิสรัปต์ไปหมด ผู้ประกอบการที่ไม่ได้เตรียมตัวก็จะมีปัญหา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมาเร็วมากกว่าที่เราคิด และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นเส้น ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างที่เรารู้จัก แต่เดี๋ยวนี้เป็น exponential คือเป็นแบบยกกำลัง และต่อไป coverage จะอยู่บนฟ้า ทุกพื้นที่เข้าถึงได้หมด สิ่งที่เคยมีเส้นกั้น มีรั้ว ปัจจุบันไม่มีแล้ว ธุรกิจใหญ่และเล็กเข้าถึงกันได้หมด ใครเร็วคนนั้นก็ได้เปรียบ เพราะเทคโนโลยีวางรอเราอยู่แล้ว และเทคโนโลยีนำพาธุรกิจให้เติบโตได้เร็วในสปีดที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
สิ่งที่ยังมีความสำคัญมากที่สุดตอนนี้คือ ต้องเข้าใจธุรกิจ และรู้จักความต้องการของลูกค้าเรา แล้วไปสร้างโปรดักส์ สร้างเซอร์วิสที่ตอบโจทย์ของเขาจริงๆ ต้องไปหาให้ได้ว่า Pain Point ของเขาคืออะไร จุดที่เขาเจ็บปวด ไม่มีใครมาแก้ปัญหาให้
อยุทธ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ธุรกิจเล็กๆ มีเครื่องมือที่มีอานุภาพพอๆ กับเครื่องมือของธุรกิจขนาดใหญ่ เพียงแต่จะรู้จักเข้าไปใช้หรือไม่ เมื่อก่อนต้องไปซื้อเป็นโซลูชั่น เป็นแอปพลิเคชั่น ราคามหาศาล แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างสามารถ subscribe รายเดือน ไม่ต้องลงทุนสูง และยุคนี้ไม่ควรจะมีทรัพย์สินติดตัวเยอะเกินไป เพราะจะเป็นภาระ เนื่องจากเทคโนโลยีโตเร็วมาก และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ของบางอย่าง 2 ปี ก็ตกยุคแล้ว ถ้าเราไปลงทุนซื้อมาอาจไม่คุ้ม
นอกจากนี้ ถ้ามีภาระติดตัวมาก มีโรงงาน มีเครื่องจักร เราก็จะมองว่าเราสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ และจะคิดจากตัวเราเองออกไป มากกว่าที่จะฟังจากลูกค้า ก็จะกลายเป็นแรงเสียดทาน แรงต้านที่เราจะไปข้างหน้ามากขึ้น การที่ธุรกิจสตาร์ทอัพเกิดขึ้นได้ ก็เพราะไม่มีทรัพย์สินเป็นภาระเยอะ
สำหรับการพัฒนาเอสเอ็มอีในปีหน้านั้น อยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องทำให้เป็นครีเอทีฟให้ได้ ซึ่งทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่สร้างสรรค์แค่ตัวสินค้า แต่ต้องมาสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจ ต้องมาสร้างสรรค์กระบวนการ โดยมีเป้าหมาย ต้องดูว่าเทรนด์ข้างหน้าคืออะไร ซึ่งเทรนด์ตอนนี้คือเรื่องอีโคแอนด์กรีน เรื่องของสังคมสูงวัย และเรื่องแชร์ริ่ง อีโคโนมี่ ทั้งนี้ เอสเอ็มอีจะต้องคิดนอกกรอบ อย่าไปยืนที่มุมเดิม หรือมองด้วยมุมมองเดิมๆ แต่ให้มองในมุมมองของลูกค้า แล้วจะเห็นโอกาสทางธุรกิจอีกเยอะ
อยุทธ์ ฝากถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีว่า โอกาสนั้นมีอยู่ อย่าเพิ่งท้อแท้ อย่าเพิ่งเครียด เพียงแต่อาจเป็นบริบทใหม่ที่เรายังไม่เคยชิน แต่ก็ต้องยอมรับมันคือธรรมชาติ คือการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ
“ถ้าท่านทำธุรกิจใดอยู่ กลับไปที่หลักการพื้นฐานคือทำสินค้าให้ดี มีคุณภาพ เข้าใจและรับฟังลูกค้าเยอะๆ แล้วพยายามคิดสร้างสรรค์เรื่องใหม่ๆ มาตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้ายังไม่ได้รับ หรือถ้าท่านมีไอเดียดีกว่า ท่านอาจจะนำเสนอสิ่งที่มันไม่เคยมีในตลาดก็ได้ ด้วยความรวดเร็ว แต่ไม่ล่ก แล้วต้องสมาร์ท ใช้วิธีการที่ฉลาด รู้จักใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ โดยที่ไม่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่กับทุกเรื่อง เราไม่มีเวลาทำแบบนั้น ทุกวันนี้มีเทคโนโลยี เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ได้ เพียงแต่เราต้องสมาร์ทในการเลือก”
@