เมื่อเจอวิกฤติต้องรีบปรับตัวด้วยความรวดเร็ว โดยผู้นำต้องเป็นตัวอย่างให้กับพนักงาน แล้วมองหาความต้องการที่แฝงอยู่ในช่วงวิกฤติ เพื่อสร้างโอกาสให้กับธุรกิจ
วชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Living Solution Business SCG กล่าวว่า ธุรกิจ Living Solution เป็นหน่วยงานที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา ต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบันที่ทำอยู่ ซึ่งจะเกี่ยวกับการอยู่อาศัยของคน เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับระบบก่อสร้างสำเร็จรูป ห้องน้ำสำเร็จรูป ส่วนที่สอง เกี่ยวกับการเอาเทคโนโลยี พวกสมาร์ต เทคโนโลยีดิจิทัล มาปรับทำให้การอยู่อาศัยในอาคารดีขึ้น เรียกว่า Smart Living ส่วนที่สาม ธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยต่างๆ
ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโวรัสโควิด-19 Living Solution ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกับทุกๆ ที่ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะล็อกดาวน์ในปลายเดือนมีนาคม ได้รับผลกระทบทั้งในส่วนของพนักงาน และธุรกิจ ที่หนักที่สุดเลยก็คือธุรกิจเพื่อผู้สูงอายุ เราเพิ่งเปิดร้านเพื่อสูงอายุเมื่อปลายปีที่แล้ว คือร้าน”ชีวิตดี บาย เอสซีจี” (Chivit-D by SCG) ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น 6 เมื่อเกิดโควิด-19 มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องปิดร้าน ตอนนั้นปั่นป่วนพอสมควร ทำอย่างไรจะทำให้เราดำเนินธุรกิจต่อไปได้
การเข้ามาของโควิด-19 เป็นเครื่องพิสูจน์ที่สำคัญอันหนึ่งถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันสถานการณ์ เช่น ร้านชีวิตดี บาย เอสซีจี ที่ถูกปิดจากมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เราต้องขึ้นเว็บไซต์ทั้งที่ไม่เคยทำ ตอนนั้นเรามีเฟซบุ๊ก มีไลน์ สุดท้ายเราขึ้นเว็บไซต์ได้ภายใน 5 วัน เรียกว่าเร็วมาก ซึ่งผู้นำจะต้องเป็นตัวอย่างในการปรับตัว ต้องกล้าตัดสินใจว่าต้องขึ้นเว็บไซต์แล้ว เพื่อให้พนักงานเดินตามและสามารถทำงานได้ทันกับสถานการณ์นี้
ในวันนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายสถานการณ์โควิด-19 จะขนาดไหน แต่จากที่ฟังข่าว รู้สึกว่าสถานการณ์หนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อมูลที่มีไม่ถึง 100% แต่เราก็ต้องตัดสินใจ โดยมองไปที่สถานการณ์ข้างหน้า แก้ปัญหาด้วยความรวดเร็ว เมื่อพูดถึงความเร็วแล้ว สิ่งที่สำคัญมากก็คือตัวทีมงานที่จะต้องมีการสื่อสารที่ดี และโชคดีที่เรามีการลงทุนเรื่องดิจิทัล อินฟราสตรักเจอร์ ไว้ก่อนหน้านี้ โปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในการประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มีพร้อม ก่อนหน้านี้อาจมีการใช้บ้างไม่ใช้บ้าง แต่เมื่อสถานการณ์จำเป็นทุกคนก็ต้องฝึกใช้ จากนั้นไม่กี่วันก็ทยอยปิดออฟฟิศ แล้วก็ Work from Home
วชิระชัย กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ปิดร้าน ปิดออฟฟิศ ทีมงานของเราที่ได้พูดคุยกับโรงพยาบาลหลายแห่ง เริ่มถามว่ามีอะไรที่จะช่วยทางโรงพยาบาลได้บ้าง ซึ่งเรามีหน่วยงานที่ทำบ้านสำเร็จรูป ทำระบบต่างๆ ในอาคาร มีทีมดูระบบอากาศ เรามีสถาปนิก มีที่ปรึกษาต่างๆ หลายทีม ก็เลยคิดว่าถ้าเรามีโซลูชั่นต่างๆ ที่ช่วยหมอและพยาบาลได้ ก็น่าจะดี
เราเลยฟอร์มทีมขึ้นมาเล็กๆ แล้วลองไปดำเนินการดู ก็ได้ความรู้มามากว่ามีความต้องการอยู่ แต่ยังไม่มีโซลูชั่น เราเลยฟอร์มทีมขึ้นมา ทำห้องคัดกรองและตรวจหาเชื้อ เพื่อให้หมอและพยาบาลทำงานด้วยความสบายใจและปลอดภัย เรามีทีมงานค่อนข้างเข้มแข็ง และมีการพูดคุยกับคนใช้งาน ซึ่งก็คือหมอและพยาบาลค่อนข้างมาก ได้ความรู้ใหม่ๆ มาเพิ่ม ทำให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
นวัตกรรมอันนี้ เราทำมาสู้กับโควิด-19 ซึ่งตอนนี้ก็ค่อนข้างคลี่คลายไปบ้างแล้ว และโรงพยาบาลยังสามารถเอาไปใช้ตรวจโรคอื่นๆ ได้ จะเป็นประโยชน์ต่อไปในระยะยาว ส่วน Living Solution ก็ได้รับความรู้และได้ประสบการณ์จากตรงนี้มากเลย มีหลายเรื่องที่จะคิดต่อยอดได้ เช่น อาคารต่างๆ ที่ใช้ในปัจจุบันอาจมีความต้องการในเรื่องของระบบอากาศ ระบบความสะอาด อนามัยต่างๆ
สำหรับโซลูชั่นต่างๆ ที่เราใช้ตอนโควิด-19 เป็นสิ่งที่เราพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์นี้ และตรงนี้ก็น่าจะพัฒนาออกไปใช้และทำเพื่อการค้าได้ ซึ่งอยู่ในแผนที่เราเร่งทำอยู่ ถ้าเราสามารถมีอินโนเวชั่น มีเทคโนโลยีที่ใช้ในการปรับปรุงสภาพอากาศต่างๆ ได้ ก็น่าจะเป็นตัวหนึ่งที่สามารถใช้กับลูกค้าในประเทศไทย และลูกค้านอกประเทศไทยได้ด้วย
วชิระชัย สรุปการมองหาโอกาสในวิกฤติว่า จะต้องมีความรวดเร็วในการปรับตัว เพราะสถานการณ์ไม่รอเรา บางครั้งต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยังไม่ชัดเจน แล้วมีความคล่องตัวในการดำเนินการ เรื่องการสื่อสารกับทีมงานในช่วงวิกฤตินั้นสำคัญมาก ผู้นำจะต้องเป็นตัวอย่าง และโอกาสหลายๆ อย่างในช่วงวิกฤติ คือเรื่องที่เราสามารถกลับไปดูว่ามันมีความต้องการอะไรแฝงอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ เรื่อง Customer Centric มีความสำคัญมากในการสร้างนวัตกรรม @